โจทก์ฟ้องว่ าจำเลยเป็นนายสิบประจำการสังกัดกองพันที่ ๑ กรมทหารปืนใหญ่ที่ ๒ มีตำแหน่งหน้าที่เป็นจ่ากองร้อยที่ ๒ ได้กระทำผิด ก.ม.กล่าวคือ เมื่อระหว่างวันที่ ๙ สิงหาคม ถึงวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๔๘๙ เวลาใดไม่ปรากฏ จำเลยได้มีเจตนาทุจจริตบังอาจเบียดบังยักยอกเอาทรัพย์สิ่งของหลวงสำหรับใช้ในราชการทหารอันอยู่ในหน้าที่ของจำเลยไว้เป็นอาณาประโยชน์ของจำเลยเองไปหลายอย่าง รวมราคา ๓๖๓๓ บาท หรือมิฉะนั้นจำเลยรู้เห็นเป็นใจยอมให้ผู้อื่นยักยอกเอาทรัพย์ดั่งกล่าวแล้วไป โดยจำเลยมิได้มีอำนาจที่จะกระทำได้โดยชอบด้วยก.ม. ขอให้ลงโทษตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๑๓๑ - ๓๑๔ - ๓๑๙.
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ข้อเท็จจริงตกอยู่ในฐานสงสัย และฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลทหารกลางพิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๑๓๑ จำคุก ๓ ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การยักยอกทรัพย์เอาเป็นประโยชน์ของมันเองก็ดี หรือ +ยอมให้ผู้อื่นยักยอกเอาไปโดยมันรู้เห็นเป็นใจด้วยก็ดี เป็นความผิดฐานยักยอกอันบัญญัติไว้ในมาตราเดียวกันตามฟ้องโจทก์ กล่าวยืนยันว่าจำเลยมีหน้าที่ปกครองรักษาทรัพย์ในคลังกองร้อย ทรัพย์นั้นหายไป โดยจำเลยยักยอกเอง หรือยินยอมให้ผู้อื่นยักยอก ตรงตามกฎหมาย การบรรยายฟ้องดั่งกล่าวนี้ พอสมควรที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว หาเป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่
ส่วนข้อเท็จจริง คงฟังตามศาลอุทธรณ์ว่าจำเลยยักยอกทรัพย์ไปจริง
จึงพิพากษายืน