โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ทำสัญญาจะซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 27959โฉนดเลขที่ 28094 และโฉนดเลขที่ 8324 รวมเนื้อที่ 30 ไร่83 ตารางวา ราคาไร่ละ 450,000 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 13,600,000 บาท จากจำเลยนายลี พรามน้อย นางหง่วน ฤกษ์รอด นางสง่า ฤกษ์รอด และนางลาบ พิมพ์สวัสดิ์ ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินฉบับลงวันที่ 15พฤศจิกายน 2537 โดยที่ดินส่วนของจำเลยที่จะซื้อขายตามสัญญาดังกล่าวเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 28094 เนื้อที่ 9 ไร่ 12 ตารางวา และที่ดินโฉนดเลขที่ 8324 เฉพาะส่วนของเนื้อที่ 4 ไร่ 1 งาน 60 ตารางวารวมเป็นส่วนที่ดินของจำเลยเนื้อที่ 13 ไร่ 1 งาน 78 ตารางวาคิดเป็นเงิน 6,113,250 บาท ในการทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวนั้น จำเลยได้เชิดพระอธิการชอบ สุเมโออักโขพันธ์ หรือสุเมโทอักโขพันธ์ บุตรของจำเลยออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลย หรือรู้อยู่แล้วให้พระอธิการชอบ เชิดตัวเองออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลยทำสัญญาจะซื้อขายและรับเงินมัดจำจากโจทก์ โดยให้พระอธิการชอบเป็นผู้ลงลายมือชื่อในช่องผู้จะขายร่วมกับนายลี นางหง่วน นางสง่าและนางลาบ โจทก์ได้วางเงินมัดจำให้แก่พระอธิการชอบกับพวกในวันทำสัญญาเป็นเงิน 100,000 บาท และได้ชำระเงินมัดจำให้โดยพระอธิการชอบเป็นผู้รับไว้อีกในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2537 เป็นเงิน1,000,000 บาท รวมเป็นเงินที่โจทก์วางมัดจำไว้แล้ว 1,100,000 บาทตกลงกันว่าในวันที่ 7 ธันวาคม 2537 โจทก์จะจ่ายเงินสดให้อีกและจำเลยจะต้องโอนส่วนของตนพร้อมทั้งที่ดินที่งอกให้กับจะโอนที่ดินของผู้ขายรายอื่นให้โดยโจทก์จะชำระเงินสดให้ไม่เกินวันละ 15 มกราคม 2538พระอธิการชอบและพวกได้นำเงินมัดจำไปแบ่งปันกันระหว่างจำเลยกับผู้ขายอื่นอีก 4 คน เป็นเงิน คนละ 220,000 บาท ต่อมาวันที่7 ธันวาคม 2537 โจทก์เตรียมแคชเชียร์เช็ค 3 ฉบับ ลงวันที่ดังกล่าวจำนวนเงิน 4,036,500 บาท 1,410,000 บาท และ 289,000 บาท พร้อมเงินสดอีกบางส่วนเพื่อชำระให้จำเลยเป็นค่าซื้อขายที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 5,893,250 บาท แต่จำเลยไม่ยอมรับเงินจำนวนดังกล่าวและไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ หลังจากนั้นผู้ขายอื่นอีก 4 คน ได้โอนที่ดินส่วนของตนให้โจทก์เมื่อวันที่ 20ธันวาคม 2537 ต่อมาวันที่ 2 มิถุนายน 2538 จำเลยขอแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 8324 เลขที่ดิน 24 เฉพาะส่วนของจำเลยเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 34036 เนื้อที่ 4 ไร่ 1 งาน 60 ตารางวา โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสองแปลงของจำเลยให้แก่โจทก์และรับเงินส่วนที่เหลือจากเงินมัดจำที่จำเลยได้รับไปแล้วเป็นเงิน5,893,250 บาท จากโจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย การที่จำเลยที่ยอมโอนที่ดินส่วนของจำเลยให้แก่โจทก์ ทำให้โจทก์ไม่สามารถขายที่ดินให้บุคคลภายนอกได้ บุคคลภายนอกได้เรียกค่าเสียหายจากโจทก์เป็นเงิน30,000,000 บาท โจทก์จึงขอคิดค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวจากจำเลยด้วยขอให้พิพากษาบังคับให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 28094และที่ดินโฉนดเลขที่ 34036 ให้แก่โจทก์ โดยรับเงินส่วนที่เหลือจำนวน5,893,250 บาท ภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ศาลพิพากษา หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และให้จำเลยชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 30,000,000 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยเชิดพระอธิการชอบออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลยและไม่เคยรู้อยู่แล้วยอมให้พระอธิการชอบเชิดตัวเขาเองออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายหรือรับเงินมัดจำกับโจทก์ พระอธิการชอบไม่เคยลงลายมือชื่อในสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินฉบับลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2537 จำเลยไม่ได้ขายหรือคิดจะขายที่ดินของจำเลยให้แก่บุคคลใดเลย ขอให้ยกฟ้อง
พระอธิการชอบผู้ร้องสอดยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 ว่า โจทก์และบุคคลอื่นประมาณ 10 ถึง 20 คน เป็นตัวแทนของบุคคลภายนอกเกี่ยวกับการทำสัญญาจะซื้อจะขายและการวางเงินมัดจำตามสัญญาจะซื้อจะขายหรือการรับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่จะซื้อจะขายเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องสอดแต่เพียงผู้เดียว การทำนิติกรรมตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินฉบับลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2537 และการรับเงินมัดจำทุกครั้งเป็นเรื่องที่ผู้ร้องสอดกระทำในนามของผู้ร้องสอดเอง ไม่เกี่ยวกับจำเลย หลังจากตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวแล้ว โจทก์ในฐานะตัวแทนของบุคคลภายนอกและตัวการไม่อาจนำเงินมาชำระให้แก่ผู้ร้องสอดในวันที่ 7 ธันวาคม 2537 อันเป็นวันที่โจทก์ต้องชำระเงินส่วนที่เหลือทั้งหมดให้แก่ผู้ร้องสอดเพื่อให้ผู้ร้องสอดดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน โดยในวันดังกล่าวโจทก์ได้เตรียมแคชเชียร์เช็คตามฟ้องมาให้ แต่เมื่อผู้ร้องสอดขอให้ธนาคารตรวจสอบเพื่อขอรับเงินปรากฏว่าธนาคารและโจทก์ไม่อาจชำระเงินตามแคชเชียร์เช็คตามฟ้องได้เนื่องจากโจทก์นำแคชเชียร์เช็คดังกล่าวมาให้ธนาคารตามแคชเชียร์เช็คหลังเวลาเลิกทำงานแล้ว ผู้ร้องสอดขอให้โจทก์นำเงินสดมาชำระในวันรุ่งขึ้นและได้ไปรอที่สำนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบุรีในวันรุ่งขึ้น แต่โจทก์กับพวกไม่ไปตามนัด โจทก์และพวกจึงเป็นผู้ผิดนัดผู้ร้องสอดขอถือเอาคำร้องของผู้ร้องสอดเป็นการบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน ลงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2537 ระหว่างผู้ร้องสอดกับโจทก์ ขอให้พิพากษายกฟ้องโจทก์ และให้ผู้ร้องสอดริบเงินมัดจำจำนวน 220,000 บาท ที่โจทก์วางไว้กับผู้ร้องสอด
ผู้ร้องสอดเสียค่าขึ้นศาลจำนวน 200 บาท ศาลชั้นต้นสั่งให้ผู้ร้องสอดเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาท ผู้ร้องสอดเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มสำหรับทุนทรัพย์จำนวน 220,000 บาท ศาลชั้นต้นสั่งให้ผู้ร้องสอดเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องจำนวน35,893,250 บาท หากผู้ร้องสอดไม่เสียค่าขึ้นศาลให้ครบ ให้ถือว่าไม่ติดใจที่จะร้องสอด ผู้ร้องสอดแถลงยืนยันไม่ยอมเสียค่าขึ้นศาลเพิ่มตามคำสั่งศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งไม่รับคำร้องของผู้ร้องสอด
ผู้ร้องสอดอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยเพียงข้อเดียวตามอุทธรณ์ของผู้ร้องสอด ผู้ร้องสอดต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเชิดหรือรู้อยู่แล้วให้พระอธิการชอบ สุเมโออักโขพันธ์ หรือสุเมโขอักโขพันธ์ บุตรจำเลย (ผู้ร้องสอด) เชิดตัวเองออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทซึ่งเป็นส่วนของจำเลยและรับเงินมัดจำส่วนของจำเลยจำนวน 220,000 บาท จากโจทก์ต่อมาจำเลยไม่ยอมโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้พิพากษาบังคับให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์โดยรับเงินส่วนที่เหลือ 5,893,250 บาท หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และให้จำเลยชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 30,000,000 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยเชิดหรือรู้แล้วยอมให้ผู้ร้องสอดเชิดตัวเองออกแสดงเป็นตัวแทนของจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายหรือรับเงินมัดจำจากโจทก์จำเลยไม่ได้ขายที่ดินของจำเลยให้แก่บุคคลใดเลย ดังนั้นที่ผู้ร้องสอดยื่นคำร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 อ้างว่าผู้ร้องสอดเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทเพียงคนเดียว ผู้ร้องสอดได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทและริบเงินมัดจำกับโจทก์ในนามของตนเองไม่เกี่ยวกับจำเลย โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทขอให้พิพากษายกฟ้องโจทก์และให้ผู้ร้องสอดริบเงินมัดจำจำนวน220,000 บาท ที่โจทก์วางไว้กับผู้ร้องสอดนั้น จึงเป็นการที่ผู้ร้องสอดขอเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามเพื่อให้ได้รับความรับรองคุ้มครองและบังคับตามสิทธิของผู้ร้องสอดที่ผู้ร้องสอดอ้างว่าตนเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทแต่เพียงผู้เดียว อันเป็นการขัดกับข้ออ้างของโจทก์และข้อต่อสู้ของจำเลย เป็นการเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามเป็นปฏิปักษ์ทั้งต่อโจทก์และต่อจำเลย มิใช่เป็นการเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามเพื่อต่อสู้คดีกับโจทก์เท่านั้น ผู้ร้องสอดจึงต้องเสียหายขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ที่ผู้ร้องสอดเรียกร้องสำหรับทุนทรัพย์ที่ผู้ร้องสอดเรียกร้องนั้น เห็นว่า ที่ผู้ร้องสอดขอให้พิพากษายกฟ้องโจทก์เป็นการขอให้ศาลรับรอง คุ้มครอง และบังคับตามสิทธิที่ผู้ร้องสอดมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแต่เพียงผู้เดียว จำเลยมิใช่เจ้าของที่ดินพิพาท ผู้ร้องสอดจึงต้องเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ของราคาที่ดินพิพาทซึ่งเท่ากับเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือจำนวน5,893,250 บาท รวมกับเงินมัดจำจำนวน 220,000 บาท ที่ผู้ร้องสอดอ้างว่าโจทก์วางไว้กับผู้ร้องสอดเป็นเงินรวม 6,113,250 บาท ส่วนที่ผู้ร้องสอดขอให้พิพากษาให้ผู้ร้องสอดริบเงินมัดจำจำนวน 220,000 บาทที่โจทก์วางไว้กับผู้ร้องสอดนั้น หากศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้องสอดและโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทผู้ร้องสอดก็ย่อมมีสิทธิริบเงินมัดจำจำนวน 220,000 บาท ที่โจทก์ได้มอบให้ผู้ร้องสอดไว้นั้นได้เองอยู่แล้วเงินจำนวนดังกล่าวจึงมิใช่ทุนทรัพย์ของคดีที่ผู้ร้องสอดจะต้องเสียค่าขึ้นศาลด้วย เมื่อผู้ร้องสอดต้องเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ของราคาที่ดินพิพาทจำนวน6,113,250 บาท และปรากฏว่าผู้ร้องสอดได้ชำระค่าขึ้นศาลสำหรับทุนทรัพย์จำนวนเพียง 220,000 บาท ผู้ร้องสอดจึงยังชำระค่าขึ้นศาลไม่ถูกต้องครบถ้วนซึ่งศาลชั้นต้นชอบที่จะสั่งให้ผู้ร้องสอดชำระค่าขึ้นศาลให้ครบถ้วนตามจำนวนทุนทรัพย์ราคาที่ดินพิพาทจำนวน6,113,250 บาท ที่ศาลชั้นต้นสั่งให้ผู้ร้องสอดชำระค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องจำเลย 35,893,250 บาท และสั่งไม่รับคำร้องของผู้ร้องสอดเมื่อผู้ร้องสอดไม่ชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มตามคำสั่งนั้น จึงเป็นการไม่ชอบ
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับคำร้องของผู้ร้องสอดและเพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้ผู้ร้องสอดชำระค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องจำนวน 35,893,250 บาท ให้ผู้ร้องสอดเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ราคาที่ดินพิพาทจำนวน 6,113,250 บาทให้ครบถ้วนภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นเห็นสมควรกำหนด และให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปตามรูปคดี