โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80, 83 และริบอาวุธมีดของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 ขณะกระทำผิดจำเลยอายุ 19 ปี รู้สึกผิดชอบดีแล้ว จึงไม่ลดมาตราส่วนโทษให้คงจำคุก 12 ปี จำเลยเข้ามอบตัวต่อเจ้าพนักงานและให้การสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 ปีริบอาวุธมีดของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้น ฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2540 เวลาประมาณ 16 นาฬิกา ขณะผู้เสียหายกับนายสุรินทร์ บุญจันทร์ เดินผ่านหน้าโรงเรียนสภาราชินี จำเลยใช้อาวุธมีดปลายแหลมแทงผู้เสียหายถูกที่ชายโครงขวา ชายโครงซ้าย แขนซ้ายและหน้าอกเหนือราวนมซ้าย ตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารหมาย จ.1 หลังเกิดเหตุมีพลเมืองดีนำผู้เสียหายส่งโรงพยาบาลตรัง ผู้เสียหายรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 8 วัน แล้วออกจากโรงพยาบาลไปรักษาตัวต่อที่บ้าน ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาข้อแรกของจำเลยมีว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือมิฉะนั้นก็เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะหรือไม่ เห็นว่า พยานโจทก์มีผู้เสียหายและนายสุรินทร์ซึ่งเป็นประจักษ์พยานเบิกความตรงกันว่า ก่อนเกิดเหตุพยานทั้งสองเดินมาตามถนนวิเศษกุลจากโรงภาพยนตร์ลิโด้ มุ่งหน้าไปวัดควนวิเศษ เมื่อถึงหน้าโรงเรียนสภาราชินี จำเลยกับพวกประมาณ 4 คนเดินตามมา จากนั้นจำเลยเข้ามาใช้แขนรัดคอผู้เสียหาย แล้วใช้มีดปลายแหลมแทงผู้เสียหายหลายครั้ง ครั้นจำเลยปล่อยผู้เสียหาย ผู้เสียหายล้มลงไป ส่วนพวกจำเลยเข้าไปรุมทำร้ายนายสุรินทร์ นายสุรินทร์วิ่งหนี พวกจำเลยวิ่งไล่ตามแต่ไม่ทัน หลังจากทำร้ายผู้เสียหายแล้วจำเลยวิ่งหนีไป ร้อยตำรวจโทมรกต พลวัฒน์ เบิกความว่าในวันเกิดเหตุเวลา 17.45 นาฬิกา จำเลยเข้ามอบตัวต่อพยานจำเลยแจ้งว่า จำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บพยานแจ้งข้อหาจำเลยว่าพยายามฆ่า จำเลยให้การรับสารภาพ ชั้นจับกุมจำเลยไม่ได้อ้างเหตุป้องกันตัว แต่อ้างว่าผู้เสียหายทำร้ายเพื่อนจำเลยก่อน ซึ่งตามบันทึกการมอบตัวผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.5 ก็บันทึกว่าจำเลยแจ้งว่าตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับกลุ่มนักเรียนโรงเรียนวัดควนวิเศษและโรงเรียนสภาราชินี จำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงผู้เสียหายหลายทีร้อยตำรวจโทมรกตแจ้งข้อหาจำเลยว่าพยายามฆ่า จำเลยให้การรับสารภาพ แม้ในชั้นสอบสวนจำเลยจะอ้างว่าผู้เสียหายชักอาวุธปืนออกมาจะยิงจำเลยก่อน จำเลยจึงเข้าล็อกคอผู้เสียหายแล้วชักอาวุธมีดออกมาแทงผู้เสียหาย แต่ร้อยตำรวจเอกเสกสรร สุวรรณโชติ พนักงานสอบสวนเบิกความว่า ไม่มีการยึดอาวุธปืนในที่เกิดเหตุผู้เสียหายและเพื่อนผู้เสียหายยืนยันว่าขณะเกิดเหตุผู้เสียหายไม่ได้นำอาวุธปืนไปด้วย ตรงกับคำเบิกความของผู้เสียหายและนายสุรินทร์ซึ่งเบิกความว่าขณะเกิดเหตุผู้เสียหายไม่มีอาวุธปืนติดตัวไปด้วยส่วนจำเลยนั้นในชั้นพิจารณากลับเบิกความว่าผู้เสียหายชักอาวุธปืนออกมายิงจำเลยแล้วแต่กระสุนปืนไม่ลั่นไม่ตรงกับที่ให้การในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน ผู้เสียหายไม่เคยรู้จักและไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน แม้ก่อนเกิดเหตุประมาณ 2 เดือน ผู้เสียหายจะมีเรื่องโกรธเคืองกับนักเรียนโรงเรียนสภาราชินี แต่จำเลยก็ไม่ได้เป็นนักเรียนโรงเรียนสภาราชินี และขณะเกิดเหตุจำเลยสวมเสื้อยืดคอกลมสีขาวแขนสั้นไม่ได้แต่งเครื่องแบบนักเรียน จึงเป็นไปไม่ได้ที่เมื่อเห็นกันเป็นครั้งแรกผู้เสียหายจะชักอาวุธปืนออกมายิงจำเลยทันที และที่จำเลยนำสืบว่าขณะเกิดเหตุจำเลยกับนายรุ่งโรจน์ อ่อนรู้ที มีเพียง 2 คน ส่วนผู้เสียหายกับพวก มีประมาณ 9 คน ทั้งผู้เสียหายยังมีอาวุธปืนด้วยหากเป็นดังที่จำเลยอ้าง ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจะกล้าเข้าไปทำร้ายผู้เสียหายและที่จำเลยนำสืบว่า เมื่อจำเลยกระโดดกอดปล้ำผู้เสียหายเป็นเหตุให้อาวุธปืนตกลงบนทางเท้าพวกผู้เสียหายคนหนึ่งหยิบอาวุธปืนขว้างทิ้งนั้น ไม่น่าเชื่อว่าเพื่อนผู้เสียหายจะขว้างอาวุธปืนของผู้เสียหายทิ้งไปแล้วปล่อยให้จำเลยกอดปล้ำผู้เสียหายและใช้อาวุธมีดแทงผู้เสียหายถึง 5 แผล จนผู้เสียหายล้มลงโดยไม่เข้าช่วยเหลือ ข้ออ้างของจำเลยไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อแต่น่าเชื่อตามพยานหลักฐานของโจทก์ว่าจำเลยเข้ารัดคอผู้เสียหายด้านหลังขณะผู้เสียหายไม่รู้ตัว แล้วจำเลยใช้อาวุธมีดแทงผู้เสียหายโดยผู้เสียหายไม่มีอาวุธปืนติดตัว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายและไม่เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ คำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาข้อต่อไปของจำเลยมีว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายหรือไม่ เห็นว่า จำเลยกับพวกมีถึง 4 คนผู้เสียหายกับพวกมีเพียง 2 คน จำเลยรูปร่างสูงใหญ่กว่าผู้เสียหาย จำเลยเข้ารัดคอผู้เสียหายทางด้านหลังโดยผู้เสียหายไม่รู้ตัว เพื่อนผู้เสียหายวิ่งหนี จำเลยใช้อาวุธมีดปลายแหลมใบมีดยาว 8.5 เซนติเมตร กว้าง 1.5 เซนติเมตร มีด้ามโค้งเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร ยาว 7.5 เซนติเมตร ซึ่งตามภาพถ่ายหมาย จ.4 เห็นได้ว่าเป็นอาวุธมีดปลายแหลมซึ่งเหมาะสำหรับใช้แทงทำร้ายผู้อื่น และสามารถทำร้ายผู้อื่นให้ถึงแก่ความตายได้หากแทงถูกอวัยวะสำคัญ จำเลยแทงผู้เสียหายถึง4 ครั้ง โดยแทงที่ชายโครงขวา ชายโครงซ้าย แขนซ้ายและหน้าอกเหนือราวนมซ้าย โดยเฉพาะการแทงที่หน้าอกเหนือราวนมซ้ายนั้นจำเลยย่อมรู้ดีว่าที่ดังกล่าวเป็นที่ตั้งของอวัยวะสำคัญอาจทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ แผลที่หน้าอกก็ลึกถึงช่องปอดทำให้เลือดออกในช่องปอด ต้องใส่ท่อระบายเลือดออกจากช่องปอดสำหรับความลึกของแผลนั้นไม่ปรากฏ นายสุรเชษฐ์ สถาวรแพทย์ผู้ตรวจรักษาผู้เสียหายเบิกความว่า ความลึกของแผลจำไม่ได้แล้วแต่โดยเฉลี่ยลึกกว้าง 2.5 เซนติเมตร ส่วนแผลอื่นลึกโดยเฉลี่ยประมาณ5 มิลลิเมตร แสดงว่าจำเลยแทงผู้เสียหายที่หน้าอกแรงกว่าที่แทงที่อื่น เป็นการแสดงให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยว่าประสงค์ให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตาย เมื่อผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลยจำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย แม้ผลของการทำร้ายจะได้ความจากนายสุรเชษฐ์ว่า บาดแผลดังกล่าวไม่ถือว่ามีอาการหนักมาก แม้ไม่รักษาก็น่าจะไม่ถึงแก่ความตาย ก็ไม่ถึงแก่ความตายก็ไม่ทำให้การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานพยายามฆ่าที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน