โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2489 จำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่ดินริมถนนมหาพฤฒาราม อำเภอบางรัก จังหวัดพระนคร เนื้อที่ 33.75 ตารางวา มีกำหนด 1 ปี เพื่อใช้เป็นที่กองของ จำเลยได้ปลูกสร้างแผงลอยลงโดยผิดสัญญาเช่าโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาเมื่อสิ้นอายุตามสัญญาเช่า และให้จำเลยรื้อถอนไป จำเลยรับว่าได้เช่าจริงแต่ไม่ได้ผิดสัญญา ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และนายประพัฒน์ไม่มีอำนาจฟ้องและอื่น ๆ หลายประการ
ศาลแขวงพระนครใต้และศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกัน ให้ขับไล่จำเลย และให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง
จำเลยฎีกาว่า นายประพัฒน์ นายกเทศมนตรีไม่มีอำนาจลงชื่อแต่งทนายหรือลงชื่อเป็นโจทก์ฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม การบอกเลิกสัญญาเช่าไม่ถูกต้อง
ศาลฎีกาเห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 74 และพระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารฯ 2476 มาตรา 27, 28 และ 29 ได้กล่าวถึงการเทศบาล และตามพระราชบัญญัติเทศบาล 2486 มาตรา 7 วรรค 2, 13 วรรค 2, 38 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 72, 73 เทศบาลเป็นนิติบุคคล การบริหารเทศบาลอยู่แก่คณะเทศมนตรี และการบริหารเทศบาลนายกเทศมนตรีเป็นหัวหน้าดำเนินกิจการทั้งปวงของเทศบาล นายกเทศมนตรีจึงมีอำนาจฟ้องคดีซึ่งเทศบาลเป็นโจทก์และลงชื่อแต่งทนายได้ ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม คดีนี้ฟ้องไม่จำเป็นต้องกล่าวว่าจำเลยปลูกสร้างอันเป็นการผิดสัญญา วัน เดือน ปีอะไร และคดีนี้โจทก์ได้ฟ้องโดยอ้างเหตุสัญญาเช่าสิ้นอายุด้วย และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 564 สัญญาเช่าที่มีกำหนดเมื่อครบกำหนดสัญญาย่อมระงับโดยมิพักต้องบอกกล่าวก่อน
พิพากษายืน