ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นบุตรนายเชื้อ แนวบุญเนียร ซึ่งถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2531 ก่อนถึงแก่กรรมนายเชื้อได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้แก่นางวนิดา แนวบุญเนียร ภริยา และแก่บุตร 4 คน คือ ผู้ร้องนางสาววัชรี แนวบุญเนียร นายวีระชัย แนวบุญเนียร และนางนุชน้อย บูรณศิริ และตั้งให้ทุกคนเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกัน แต่การจัดการมรดกมีเหตุขัดข้องเนื่องจากนางวนิดาและคนอื่น ๆ ไม่ยอมรับเป็นผู้จัดการมรดกตามพินัยกรรมขอให้มีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของนายเชื้อผู้ตาย
ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านว่า ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกนายเชื้อผู้ตายไว้แล้ว พินัยกรรมตามที่ผู้ร้องอ้างเป็นพินัยกรรมที่ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายหากฟังว่าเป็นพินัยกรรมที่สมบูรณ์ ผู้ร้องก็มิได้ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกภายในหนึ่งปีนับแต่เจ้ามรดกตายกับอ้างเหตุอีกหลายประการว่าผู้ร้องไม่สมควรเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย
ก่อนถึงวันนัดไต่สวนศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นได้ไต่สวนและมีคำสั่งตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกนายเชื้อผู้ตายโดยมิได้จำกัดอำนาจในการจัดการและคดีถึงที่สุดแล้ว ผู้ร้องจะร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกรายเดียวกันอีกหาได้ไม่แม้จะอ้างว่าเป็นการจัดการมรดกโดยมีพินัยกรรมก็ตาม จึงให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "เมื่อศาลมีคำสั่งตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายไว้แล้วโดยมิได้จำกัดให้มีอำนาจจัดการเกี่ยวกับทรัพย์มรดกเฉพาะสิ่งเฉพาะอย่างผู้คัดค้านก็ย่อมมีอำนาจที่จะจัดการเกี่ยวกับทรัพย์มรดกของผู้ตายได้ทั้งหมด ดังนั้นหากผู้ตายทำพินัยกรรมจำหน่ายทรัพย์เฉพาะสิ่งไว้จริงดังที่ผู้ร้องอ้าง ผู้ร้องก็อาจขอให้ผู้คัดค้านจัดการให้เป็นไปตามพินัยกรรมนั้นได้ กรณีจึงไม่มีเหตุจำเป็นและสมควรอย่างไรที่ผู้ร้องจะมาร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกรายเดียวกันซ้อนขึ้นมาอีก ทั้งนี้ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 472/2532 นางผ่องศรีโรจน์วงศ์ ผู้ร้อง"
พิพากษายืน