โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2533 จำเลยกู้เงินโจทก์ 3,500,000 บาท ตกลงเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15.5 ต่อปี และยินยอมให้โจทก์ปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นลงตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย หากผิดนัดให้คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี เมื่อหนี้ถึงกำหนดจำเลยขอเลื่อนเวลาชำระหนี้ไปจนถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2545 เพื่อเป็นประกันแห่งหนี้ จำเลยจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 3034 ตำบลบางบ่อ อำเภอบางบ่อ (บางเหี้ย) จังหวัดสมุทรปราการ เฉพาะส่วนพร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้ต่อโจทก์ หลังทำสัญญาจำเลยผ่อนชำระให้โจทก์บ้างแต่ไม่ตรงตามสัญญา โดยชำระครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2537 เป็นเงิน 52,800 บาท โจทก์ทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนอง แต่จำเลยเพิกเฉย เมื่อนับถึงวันฟ้องจำเลยค้างชำระต้นเงิน 3,370,386.73 ดอกเบี้ย 2,907,299.41 บาท รวมเป็นเงิน 6,277,686.14 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 6,277,686.14 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19.75 ต่อปี ของต้นเงิน 3,370,386.73 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์จนกว่าจะครบถ้วน
จำเลยให้การว่า จำเลยทำสัญญากู้กับโจทก์และทำคำขอเลื่อนกำหนดเวลาชำระหนี้ตามฟ้อง จำเลยชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์เรื่อยมา แม้มีการผิดนัดบ้างโจทก์ก็ไม่ถือเป็นเหตุบอกเลิกสัญญา โจทก์เรียกดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ซึ่งสูงกว่าที่ตกลงกัน จำเลยจึงหยุดชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ ดังนั้นจำเลยไม่ได้ตกเป็นผู้ผิดนัดชำระดอกเบี้ยตามคำฟ้อง โจทก์คำนวณดอกเบี้ยจำนวนมากกว่าความเป็นจริง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 3,535,429.56 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี ขอต้นเงิน 3,443,170.07 บาท นับแต่วันที่ 29 มิถุนายน 2536 ถึงวันที่ 26 กันยายน 2536 ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16 ต่อปี นับแต่วันที่ 27 กันยายน 2536 ถึงวันที่ 9 มิถุนายน 2537 ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2537 ถึงวันที่ 9 มีนาคม 2538 ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 10 มีนาคม 2538 ถึงวันที่ 8 กันยายน 2540 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 9 กันยายน 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยให้นำเงิน 727.95 บาท 17,715.39 บาท 16,769.99 บาท 20,471.11 บาท 17,098.90 บาท ไปหักชำระต้นเงิน ณ วันที่ 26 กรกฎาคม 2536 วันที่ 26 สิงหาคม 2536 วันที่ 27 กันยายน 2536 วันที่ 26 ตุลาคม 2536 วันที่ 26 มกราคม 2537 ตามลำดับ เหลือต้นเงินเท่าใดให้คิดดอกเบี้ยจากต้นเงินคงเหลือในแต่ละวันที่หักชำระหนี้ต้นเงินแล้ว กับให้นำเงิน 52,072.05 บาท 35,084.61 บาท 36,030.01 บาท 32,328.89 บาท 63,000 บาท และ 35,701.10 บาท ไปหักชำระดอกเบี้ย ณ วันที่ 26 กรกฎาคม 2536 วันที่ 26 สิงหาคม 2536 วันที่ 27 กันยายน 2536 วันที่ 26 ตุลาคม 2536 วันที่ 29 ธันวาคม 2536 และวันที่ 26 มกราคม 2537 ตามลำดับ หากจำเลยไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 3034 ตำบลบางบ่อ อำเภอบางบ่อ (บางเหี้ย) จังหวัดสมุทรปราการ พร้อมสิ่งปลูกสร้างขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ ถ้าได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน กับให้ชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ มีนายอมร เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ ตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.1 จำเลยกู้เงินโจทก์ตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.4 โดยนำที่ดินโฉนดเลขที่ 3034 ตำบลบางบ่อ อำเภอบางบ่อ (บางเหี้ย) จังหวัดสมุทรปราการ เฉพาะส่วนของจำเลยพร้อมสิ่งปลูกสร้างจดทะเบียนจำนองเป็นประกันการชำระหนี้ ตามหนังสือสัญญาจำนองที่ดินเฉพาะส่วนและข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.6 และ จ.7 จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์เพียงบางส่วน เมื่อครบกำหนดชำระจำเลยยังคงเป็นหนี้โจทก์อยู่ โจทก์จำเลยจึงได้ตกลงเลื่อนกำหนดเวลาชำระหนี้ออกไปตามคำขอเลื่อนกำหนดเวลาชำระหนี้เอกสารหมาย จ.5 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า จำเลยค้างชำระหนี้ดอกเบี้ยโจทก์หรือไม่ เพียงใด โจทก์มีนายประสพ พนักงานของโจทก์ซึ่งลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.4 เบิกความว่า จำเลยได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์ตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.4 ซึ่งตามข้อ 2 มีสาระสำคัญว่า จำเลยยอมเสียดอกเบี้ยเป็นรายเดือนอัตราร้อยละ 15.5 ต่อปี หากภายหลังวันกู้โจทก์ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยใหม่เพิ่มหรือลดไปจากเดิม จำเลยยินยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราที่เปลี่ยนแปลงนั้นได้ โดยไม่ต้องบอกกล่าวจำเลยก่อน จำเลยรับว่าได้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.4 เพียงแต่อ้างว่าขณะทำสัญญายังไม่ได้มีการกรอกข้อความ และมีการตกลงกันด้วยวาจาว่าโจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี แต่เมื่อครบกำหนดชำระตามสัญญา จำเลยชำระเงินเพียงบางส่วน จึงได้มีการตกลงกันให้จำเลยเลื่อนการชำระหนี้ออกไป มีบันทึกข้อตกลงเพิ่มเติมตอนท้ายระบุให้โจทก์คิดดอกเบี้ยตามประกาศของโจทก์อัตราร้อยละ 13.25 ต่อปี จำเลยได้ลงลายมือชื่อท้ายข้อตกลงเพิ่มเติมนี้ด้วย โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้โต้แย้งและขอให้ระบุว่าคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี ตามที่จำเลยอ้างว่าได้ตกลงกับโจทก์ไว้ตามคำขอเลื่อนกำหนดเวลาชำระหนี้เอกสารหมาย จ.5 แสดงว่าในการกู้ยืมเงินและเลื่อนกำหนดเวลาชำระหนี้ โจทก์จำเลยได้ตกลงเรื่องอัตราดอกเบี้ยกันไว้โดยชัดแจ้งก่อนที่ได้มีการทำสัญญากู้เงินกับคำขอเลื่อนกำหนดเวลาชำระหนี้และลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าวแล้ว และเมื่อโจทก์คิดอัตราดอกเบี้ยตามข้อตกลงในสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.4 ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยและประกาศธนาคารโจทก์เอกสารหมาย จ.9 และ จ.10 จึงเป็นการคิดดอกเบี้ยโดยชอบ เมื่อจำเลยไม่ชำระดอกเบี้ยให้ครบถ้วน จำเลยจึงเป็นผู้ผิดนัดผิดสัญญา ส่วนที่โจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราดอกเบี้ยเมื่อผิดนัดอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ตามประกาศธนาคารโจทก์ลงวันที่ 23 มิถุนายน 2536 เอกสารหมาย จ.10 ตั้งแต่วันที่ 29 มิถุนายน 2536 ตามที่ปรากฏในบัญชีเงินกู้เอกสารหมาย จ.8 ซึ่งศาลล่างทั้งสองถือเป็นวันที่จำเลยผิดนัด และลดอัตราดอกเบี้ยเป็นไม่เกินอัตราร้อยละ 16.5 ต่อปี นับแต่วันดังกล่าว เป็นคุณแก่จำเลยอยู่แล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยข้อต่อไปมีว่า คำพิพากษาศาลล่างทั้งสองที่ให้บังคับขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 3034 ตำบลบางบ่อ อำเภอบางบ่อ (บางเหี้ย) จังหวัดสมุทรปราการ พร้อมสิ่งปลูกสร้างนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์เป็นการไม่ถูกต้องนั้น เห็นว่า ตามหนังสือสัญญาจำนองที่ดินเฉพาะส่วนและข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.6 และ จ.7 ระบุว่า จำเลยจำนองทรัพย์ดังกล่าวเฉพาะส่วนกรรมสิทธิ์ของจำเลยเท่านั้นเป็นประกันการชำระหนี้ แต่ตัวทรัพย์ทั้งหมดนั้นจำเลยจะก่อภาระติดพันได้ก็แต่ด้วยความยินยอมแห่งเจ้าของรวมทุกคนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรคสอง เมื่อไม่ปรากฏว่าเจ้าของรวมคนอื่นยินยอมให้จำเลยทำนิติกรรมจำนองด้วย การจำนองดังกล่าวจึงไม่ผูกพันตัวทรัพย์ทั้งหมด การที่จำเลยเจ้าของรวมคนหนึ่งจดทะเบียนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเฉพาะส่วนของตนต่อโจทก์จึงเป็นการจำนองเฉพาะส่วนแห่งสิทธิของตนเท่านั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรคหนึ่ง ย่อมไม่กระทบถึงส่วนแห่งสิทธิของเจ้าของรวมคนอื่น การที่ศาลล่างทั้งสองบังคับให้ยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างขายทอดตลาดทั้งหมดนั้น ศาลฎีกาจึงไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น"
พิพากษาแก้เป็นว่า หากจำเลยไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 3034 ตำบลบางบ่อ อำเภอบางบ่อ (บางเหี้ย) จังหวัดสมุทรปราการ พร้อมสิ่งปลูกสร้างเฉพาะส่วนของจำเลยขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ นอกจากที่แก้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ