โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277, 364, 365
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคสอง, 365(3) ประกอบด้วยมาตรา 364 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 277 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 10 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ผู้เสียหายเบิกความเป็นพยานว่า คืนเกิดเหตุเวลาประมาณเที่ยงคืนรู้สึกตัวตื่นเนื่องจากรู้สึกว่ามีอะไรมาถูกอวัยวะเพศ พอลืมตาก็เห็นชายคนหนึ่งนั่งคร่อมอยู่บนตัวผู้เสียหาย เห็นจากแสงจันทร์ซึ่งส่องเข้ามาในบ้านตอนนั้นจำไม่ได้ว่าเป็นใครเพราะเห็นลาง ๆ ระหว่างนั้นได้ยินเสียงรถจักรยานยนต์ของนายโกศลเข้ามา ชายดังกล่าวได้ยินเสียงรถจักรยานยนต์ก็ลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าแล้วเดินออกไปทางประตู ผู้เสียหายมีโอกาสเห็นหน้าชายดังกล่าวตอนกำลังออกประตูนั้นเอง เห็นได้จากแสงจันทร์ เห็นกันในระยะห่างประมาณ 3 เมตร ชายดังกล่าวรู้จักมาก่อนคือจำเลยเมื่อจำเลยไปแล้วผู้เสียหายนุ่งผ้า พอดีนายโกศลเข้ามา นายโกศลถามว่าทำไมเปิดประตูไว้และทำไมถึงได้ปิดไฟ เพราะตามปกติที่บ้านผู้เสียหายจะต้องเปิดไฟไว้ทั้งคืน น้องสองคนจะไม่ยอมนอนหากไม่เปิดไฟ นายโกศลเดินดูรอบบ้านพบจำเลยนอนอยู่บนฉางข้าวข้างบ้าน นายโกศลเข้านอน เมื่อนายโกศลเข้านอนแล้วผู้เสียหายนั่งร้องไห้อยู่จนนางจิตรากลับมาถึงบ้านจึงเล่าเรื่องให้นางจิตราฟัง นางจิตราไปปลุกนายโกศลแล้วไปที่ฉางข้าวผู้เสียหายตามไปด้วย จำเลยไม่ยอมตอบคำถาม นางจิตราพูดว่า วันนี้มึงอย่าได้ไปขอเมียเลย กูจะฆ่ามึงให้ตาย พร้อมกับวิ่งไปหยิบมีดในครัวออกมา จำเลยวิ่งหนี ภาพตัวบ้านเกิดเหตุปรากฏตามภาพหมาย จ.2 แผนที่เกิดเหตุปรากฏตามเอกสารหมาย จ.3 และเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า นายโกศลเดินตรวจรอบบ้านพบจำเลยนอนอยู่ที่ฉางข้าว นายโกศลไม่ได้ว่าจำเลยเพราะจำเลยมานอนอยู่ที่นั่นประจำ ร้อยตำรวจโทพูนศักดิ์ เซ่งแซ่ พนักงานสอบสวนเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า ชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพข้อหาบุกรุก แต่ปฏิเสธข้อหาข่มขืนกระทำชำเรา เห็นว่าตามภาพถ่ายบ้านเกิดเหตุตามภาพหมาย จ.2 และแผนที่เกิดเหตุหมาย จ.3 ปรากฏว่าบ้านเกิดเหตุมีฝาทึบสูงเกือบถึงฝ้าเพดาน จึงไม่น่าเชื่อว่าแสงจันทร์จะส่องเข้าไปถึงได้ ที่ผู้เสียหายเบิกความว่าเห็นคนร้ายจำได้ว่าเป็นจำเลยขณะจำเลยกำลังออกประตูนั้นไม่น่าเชื่อเพราะขณะคนร้ายออกจากประตูบ้าน คนร้ายหันหลังให้ผู้เสียหาย ประกอบกับขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืนและคนร้ายกำลังหลบหนี ซึ่งน่าจะไปด้วยความรีบร้อน โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียว จำเลยให้การปฏิเสธตลอดมา จึงมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่เข้าไปในบ้านนางจิตราและกระทำชำเราผู้เสียหายหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง สำหรับข้อหาบุกรุกนั้นคงได้ความจากคำเบิกความของนายโกศลว่าเห็นจำเลยนอนบนฉางข้าวซึ่งอยู่ห่างจากตัวบ้าน 10 เมตรนายโกศลเบิกความรับว่าเมื่อจำเลยเมาสุราจำเลยจะมานอนบนฉางข้าวเป็นประจำทั้งในวันเกิดเหตุเมื่อนายโกศลพบจำเลยนอนบนฉางข้าวนายโกศลก็มิได้ว่ากล่าวจึงเชื่อว่าจำเลยเข้าไปนอนบนฉางข้าวโดยวิสาสะ มิได้มีเจตนาบุกรุก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน