โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 68,750 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 50,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 18 ธันวาคม 2546) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์หลายครั้งรวมเป็นเงิน 50,000 บาท ต่อมาจึงได้ทำหลักฐานการกู้ยืมเงินมอบให้โจทก์ไว้ หลักฐานการกู้ยืมเงินดังกล่าวไม่ปรากฏข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ย การที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยตกลงให้ดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ทุกเดือน จึงเป็นการนำสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมข้อความในเอกสารต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ฟังไม่ได้ว่าจำเลยตกลงให้ดอกเบี้ยแก่โจทก์ โจทก์เรียกดอกเบี้ยจากจำเลยนับแต่วันทำสัญญาไม่ได้อย่างไรก็ตามการกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยตามหลักฐานการกู้ยืมเงินดังกล่าวมิได้กำหนดเวลาชำระต้นเงินคืนไว้ การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องและจำเลยไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ต้องถือว่าจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัดนับแต่วันฟ้อง โจทก์ชอบที่จะเรียกดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ได้นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระหนี้ครบถ้วน ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ได้รับเงินจากโจทก์และทำหลักฐานการกู้ยืมเงิน เพื่อความสบายใจของโจทก์ ไม่มีเจตนาผูกพันกันเป็นการแสดงเจตนาลวงและเป็นนิติกรรมอำพรางตกเป็นโมฆะฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า หลักฐานการกู้ยืมเงิน มีข้อตกลงว่า "ถ้าจำเลยเป็นอะไรไปในวันข้างหน้า ขอให้บุตรของจำเลยหักเงินสงเคราะห์ชีวิต แบบร่มไทร ของธนาคารออมสิน จ่ายให้แก่โจทก์ด้วย" อันเป็นการฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 656 วรรคสองและวรรคสาม การกู้ยืมเงินตามหลักฐานการกู้ยืมเงินดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะนั้น เห็นว่า กรณีข้อตกลงที่ขัดต่อข้อความตาม มาตรา 656 วรรคสองและตกเป็นโมฆะตามวรรคสามนั้นเป็นเรื่องที่ผู้ให้กู้ยอมรับของอื่นแทนการชำระหนี้ด้วยเงินตรา แต่ข้อตกลงตามหลักฐานการกู้ยืมเงินเป็นเรื่องที่จำเลยตกลงให้บุตรจำเลยนำเงินมาชำระให้แก่โจทก์จึงหาใช่ข้อตกลงที่ขัดต่อมาตรา 656 วรรคสองไม่ ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์นั้น ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน โจทก์ไม่แก้ฎีกาจึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้