ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า นายปุย และนางต่วมอยู่กินฉันสามีภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมาย มีบุตร 2 คน คือนายสังเวียนและนายแสวงผู้ร้องเป็นบุตรนายสังเวียน ขณะยังมีชีวิต นายสังเวียนแสดงต่อบุคคลทั่วไปว่าผู้ร้องเป็นบุตร ผู้ร้องจึงเป็นทายาทโดยธรรมของนายสังเวียน ระหว่างมีชีวิตอยู่นางต่วมมีที่ดินโฉนดเลขที่ 1502 ตำบลบางนางร้า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นางต่วมถึงแก่กรรมเมื่อประมาณ 30 ปีแล้ว มิได้ทำพินัยกรรมไว้ มีเหตุขัดข้องไม่อาจจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวได้ ผู้ร้องเป็นทายาทและเป็นผู้มีส่วนได้เสียในกองมรดกรายนี้ ขอให้มีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของนางต่วมเจ้ามรดก
ศาลชั้นต้นตรวจคำร้องของผู้ร้องแล้วมีคำสั่งว่า ผู้ร้องเป็นหลานของเจ้ามรดก โดยปรากฏว่าเจ้ามรดกยังมีบุตรอีกคนหนึ่งซึ่งยังมีชีวิตอยู่และถือเป็นทายาทโดยตรงของเจ้ามรดก จึงถือไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นทายาทหรือมีส่วนได้เสียในกองมรดกของเจ้ามรดกไม่มีสิทธิยื่นคำร้อง ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำร้องผู้ร้องบรรยายว่าผู้ร้องเป็นบุตรนายสังเวียนที่นายสังเวียนรับรองแล้ว ผู้ร้องจึงเป็นทายาทโดยธรรมของนายสังเวียนและตามคำร้องก็บรรยายให้เห็นได้ว่านายสังเวียนถึงแก่กรรมไปแล้ว โดยไม่ปรากฏในคำร้องว่าเจ้ามรดกหรือนายสังเวียนถึงแก่กรรมก่อนกัน ซึ่งหากนายสังเวียนถึงแก่กรรมก่อนเจ้ามรดก ผู้ร้องซึ่งเป็นบุตรของนายสังเวียนย่อมรับมรดกแทนที่นายสังเวียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1639 ผู้ร้องย่อมเป็นทายาทของเจ้ามรดกที่มีสิทธิขอจัดการมรดกรายนี้ได้ และหากนายสังเวียนถึงแก่กรรมหลังเจ้ามรดก ขณะที่เจ้ามรดกถึงแก่กรรมทรัพย์มรดกย่อมตกได้แก่นายสังเวียนและนายแสวงผู้เป็นบุตร เมื่อนายสังเวียนถึงแก่กรรม ทรัพย์มรดกดังกล่าวส่วนที่เป็นของนายสังเวียนย่อมตกทอดแก่ผู้ร้องซึ่งเป็นบุตร ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกดังกล่าวได้เช่นนี้ ผู้ร้องย่อมมีสิทธิที่จะร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 ได้เช่นกันที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งยกคำร้อง ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาผู้ร้องฟังขึ้น
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นรับคำร้องของผู้ร้องไว้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี