โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และสามีเข้าครอบครองทำนาด้วยความสงบเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาจนบัดนี้เป็นเวลานานเกินกว่า10 ปีแล้ว โจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์ด้วยการครอบครองที่พิพาทขอให้พิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 153 ตำบลดอนทราย (ทับคาง)อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี เฉพาะส่วนตามแผนที่พิพาทเนื้อที่1 ไร่ 1 งานเศษ เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ด้วยการครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย และให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์และยื่นคำขอรังวัดแบ่งแยกให้โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินดังกล่าวแต่โจทก์อาศัยที่พิพาทของจำเลยนี้เลี้ยงวัวและปลูกพืชบ้างเป็นบางปีโจทก์จึงไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยไปแบ่งแยกโฉนดที่ดินที่พิพาท และโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้โจทก์ อ้างว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ศาลฎีกาเห็นว่า ไม่ว่าโจทก์จะได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยการครอบครองดังกล่าวหรือไม่ก็ตาม จำเลยไม่มีหน้าที่อย่างใดในทางนิติกรรมที่จะต้องไปแบ่งแยกโฉนดที่ดินที่พิพาท และโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับจำเลยให้ทำเช่นนั้นอย่างไรก็ตาม คดีนี้โจทก์มีคำขอให้ศาลพิพากษาแสดงกรรมสิทธิ์ที่พิพาท จึงเห็นควรวินิจฉัยต่อไปว่า โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยการครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาสิบปีหรือไม่... ข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวจึงรับฟังไม่ได้ ที่จำเลยนำสืบมา มีน้ำหนักน่าเชื่อยิ่งกว่าพยานโจทก์ รับฟังได้ว่าจำเลยยังคงครอบครองที่พิพาทในฐานะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ตลอดมา ไม่น่าเชื่อว่าโจทก์เข้าครอบครองที่พิพาทในฐานะเป็นเจ้าของ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่า โจทก์ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทเพราะมิได้ครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย..."
พิพากษายืน.