โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 347
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 347 ประกอบมาตรา 83 จำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก 6 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงปรากฏตามรายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยของพนักงานคุมประพฤติซึ่งจำเลยไม่คัดค้านว่าหลังเกิดเหตุคดีนี้ จำเลยต้องคำพิพากษาให้จำคุก 14 ปี 12 เดือน ตามคดีหมายเลขแดงที่ อ.3137/2552 ของศาลอาญาในความผิดต่อพระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน และความผิดเกี่ยวกับเอกสาร โดยพ้นโทษในเดือนสิงหาคม 2557 แล้วโจทก์จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ เมื่อจำเลยเคยรับโทษจำคุกมาก่อนและพ้นโทษไปแล้วดังกล่าว ทั้งความผิดในคดีก่อนและคดีนี้ไม่ใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ กรณีจึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะรอการลงโทษได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 (ที่แก้ไขใหม่) ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รอการลงโทษให้จำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ก่อนคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกา ได้มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ.2560 มาตรา 4 ให้ยกเลิกอัตราโทษในมาตรา 347 แห่งประมวลกฎหมายอาญาและให้ใช้อัตราโทษใหม่แทน แต่อัตราโทษตามกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดไม่เป็นคุณแก่จำเลย จึงต้องใช้กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดบังคับแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3
พิพากษายืน