โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 188, 264, 266, 268, 334, 335 และให้จำเลยคืนเช็ค 11 ฉบับ หรือชดใช้ราคา 165 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 1
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188, 335 (11) วรรคแรก, 266 (4), 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 266 (4) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่นและฐานลักทรัพย์นายจ้าง เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานลักทรัพย์นายจ้าง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดแต่เพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี ฐานปลอมตั๋วเงิน จำคุก 1 ปี ฐานปลอมตั๋วเงินและใช้ตั๋วเงินปลอม จำเลยเป็นผู้ปลอมและใช้ตั๋วเงินปลอม ให้ลงโทษฐานใช้ตั๋วเงินปลอมแต่กระทงเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคสอง จำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานลักทรัพย์นายจ้าง คงจำคุก 6 เดือน ฐานปลอมตั๋วเงิน คงจำคุก 6 เดือน ฐานใช้ตั๋วเงินปลอม คงจำคุกกระทงละ 6 เดือน 3 กระทง เป็นจำคุก 18 เดือน รวมจำคุก 30 เดือน ให้จำเลยคืนเช็ค 11 ฉบับ หรือใช้ราคาแทนเป็นเงิน 165 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 1 คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ลงโทษฐานปลอมตั๋วเงิน แต่ให้ลงโทษฐานใช้ตั๋วเงินปลอม จำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 3 ปี เมื่อลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกกระทงละ 6 เดือน รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 18 เดือน เมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานลักทรัพย์นายจ้างตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เป็นจำคุก 24 เดือน ยกคำขอให้จำเลยคืนเช็ค 11 ฉบับ หรือใช้ราคา 165 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 1 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยลงโทษจำเลยฐานใช้ตั๋วเงินปลอม รวม 3 กระทง แต่ไม่ลงโทษในความผิดฐานปลอมตั๋วเงินอีก 1 กระทง เป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า แม้โจทก์ระบุท้ายฎีกาเป็นทำนองขอให้ศาลฎีกาพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 โดยลงโทษจำเลยฐานปลอมตั๋วเงิน 1 กระทง และฐานใช้ตั๋วเงินปลอม 2 กระทง ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานใช้ตั๋วเงินปลอม รวม 3 กระทงหาใช่ 2 กระทง ข้อความท้ายฎีกาของโจทก์ดังกล่าวจึงน่าจะเกิดจากการผิดหลงในการเรียงและพิมพ์ ประกอบกับเมื่อพิจารณาข้อฎีกาของโจทก์ในตอนต้นซึ่งระบุไว้ชัดเจนว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว เช่นนี้ ย่อมแสดงให้เห็นเจตนารมณ์ในการยื่นฎีกาของโจทก์ว่าประสงค์ให้ศาลฎีกาลงโทษจำเลยในความผิดฐานใช้ตั๋วเงินปลอมรวม 3 กระทง ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 กับลงโทษจำเลยในความผิดฐานปลอมตั๋วเงินอีกกระทงหนึ่งตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นด้วย ซึ่งในข้อนี้เมื่อข้อเท็จจริงแห่งคดีรับฟังเป็นยุติตามคำฟ้องของโจทก์และคำให้การรับสารภาพของจำเลยว่า จำเลยปลอมเช็คธนาคาร ท. ของผู้เสียหายที่ 1 รวม 3 ฉบับ คือฉบับเลขที่ 00134343 เลขที่ 00134446 และเลขที่ 00134308 จากนั้นนำเช็คที่ทำปลอมขึ้น ฉบับเลขที่ 00134446 ไปใช้แสดงต่อนายภวิช และใช้แสดงต่อนายณตฤณ กับนำเช็คที่ทำปลอมขึ้น ฉบับเลขที่ 00134308 ไปใช้แสดงต่อลูกค้าของผู้เสียหายที่ 1 ดังนี้ การที่จำเลยนำเช็คที่ทำปลอมขึ้นดังกล่าว 2 ฉบับ ไปใช้อ้างต่างกรรมต่างวาระ รวม 3 ครั้ง จำเลยจึงมีความผิดฐานใช้ตั๋วเงินปลอม รวม 3 กระทง ตามจำนวนครั้งที่นำตั๋วเงินปลอมออกใช้ แต่สำหรับเช็ค ฉบับเลขที่ 0013443 ซึ่งจำเลยทำปลอมขึ้นนั้นไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้นำออกใช้ จำเลยจึงมีความผิดฐานปลอมตั๋วเงินสำหรับเช็คฉบับนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 266 (4) ด้วยอีกกระทงหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น อย่างไรก็ตาม การปลอมตั๋วเงินตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 266 (4) เป็นความผิดต่างกรรมกับการใช้ตั๋วเงินปลอมตามมาตรา 268 วรรคแรก เพียงแต่มาตรา 268 วรรคสอง บัญญัติให้ผู้ใช้ตั๋วเงินปลอมซึ่งเป็นผู้ปลอมตั๋วเงินนั้นรับโทษฐานใช้ตั๋วเงินปลอมแต่กระทงเดียว ดังนั้น เมื่อจำเลยทำปลอมเช็ค ฉบับเลขที่ 00134446 และใช้แสดงต่อนายภวิชจึงต้องลงโทษตามมาตรา 268 วรรคแรก แต่เพียงกระทงเดียวตามมาตรา 268 วรรคสอง แต่เมื่อต่อมาจำเลยใช้เช็ค ฉบับเลขที่ 00134446 ดังกล่าวแสดงต่อนายณตฤณ โดยจำเลยไม่ได้ปลอมเช็คฉบับเลขที่ดังกล่าวขึ้นอีก จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานปลอมตั๋วเงินตามมาตรา 266 (4) คงมีความผิดเพียงฐานใช้ตั๋วเงินปลอมตามมาตรา 268 วรรคแรก ซึ่งต้องระวางโทษตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 266 (4) ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานปลอมตั๋วเงินตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 266 (4) อีกกระทงหนึ่ง จำคุก 1 ปี สำหรับความผิดฐานปลอมตั๋วเงินและใช้ตั๋วเงินปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 266 (4) และมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 266 (4) ซึ่งจำเลยเป็นผู้ปลอมตั๋วเงินและใช้ตั๋วเงินปลอม ให้ลงโทษฐานใช้ตั๋วเงินปลอมแต่กระทงเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคสอง จำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 2 ปี และมีความผิดฐานใช้ตั๋วเงินปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 266 (4) จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกรวม 24 เดือน เมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานลักทรัพย์นายจ้างตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 แล้ว เป็นจำคุก 30 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8