คดีได้ความว่า จำเลยได้ให้โจทก์เช่าเรือใบเดินทะเล ๑๒ คำเพื่อรับจ้างทำการขนหินและสิ่งของให้จำเลย โดยมีข้อสัญญาในข้อ ๙ ว่า ถ้าจำเลยบอกเลิกสัญญาเพราะไม่ประสงค์จะทำการขนหินทางทะเลต่อไป เรือลำใดที่โจทก์ชำระค่าเช่าให้ครบถ้วยตามราคาเรือนและเครื่องอุปกรณ์แล้ว จำเลยยอมยกกรรมสิทธิเรือนั้น ๆ ให้โจทก์ เนื่องจากสัญญาข้อนี้ โจทก์ฟ้องจำเลยโดยอ้างว่าเป็นสัญญาเช่าซื้อ ขอให้จำเลยโอนเรือให้โจทก์ เพราะโจทก์ได้ชำระค่าเรือให้จำเลยครบถ้วนแล้ว
จำเลยให้การต่อสู้เป็นใจความสำคัญว่า จำเลยยังไม่ได้บอกเลิกสัญญาเช่า และโจทก์ยังไม่มีอำนาจฟ้องตามเงื่อนไขในสัญญา
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกาว่า สัญญาข้อ ๙ เขียนไม่ชัดเจน ต้องให้คู่ความสืบประกอบให้เห็นเจตนาแท้จริงว่า โจทก์มีสิทธิเรียกเรือเป็นกรรมสิทธิได้ โดยไม่จำเป็นต้องรอให้จำเลยบอกเลิกสัญญาเสียก่อน การตีความอย่างศาลล่างเป็นการบังคับให้โจทก์ต้องรับจ้างจำเลยตลอดชีวิต ซึ่งเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อย
ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญาข้อ ๙ มีข้อความชัดเจนแล้วไม่ต้องสืบพะยานประกอบตามสัญญาข้อนั้นต้องเป็นกรณีจำเลยบอกเลิกสัญญาขนหิน โจทก์จึงจะเรียกเอากรรมสิทธิเรือได้และสัญญาข้อนี้ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย เพราะโจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้เช่นกัน เป็นแต่จะเรียกกรรมสิทธิเรือได้ก็โดยกรณีจำเลยเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาเท่านั้น จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์