โจทก์ฟ้องขอบังคับให้จำเลยชำระเงิน 675,143 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 670,950 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 675,143 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 670,950 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 4,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความรวม 10,000 บาท
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาท่าศาลา ลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2559 สั่งจ่ายเงินจำนวน 670,950 บาท มอบให้แก่โจทก์ โจทก์ได้นำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินแต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โดยเหตุผลว่าเงินในบัญชีไม่พอจ่าย
มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ โจทก์อ้างว่า เมื่อต้นปี 2559 จำเลยซื้อสินค้าจำพวกปลาและอาหารปลาไปจากโจทก์และจำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทแก่โจทก์และโจทก์ยังเบิกความยืนยันว่า เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2559 จำเลยซื้ออาหารปลาไปจากโจทก์ ตามใบส่งของและรายการสรุปยอดค้างค่าสินค้าที่จำเลยซื้อไปจากโจทก์ โดยจำเลยได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทชำระหนี้แก่โจทก์ แต่เมื่อพิจารณาใบส่งของสรุปยอดค้าง กลับลงวันที่ 9 เมษายน 2554 อันเป็นหนี้ที่จำเลยค้างชำระแก่โจทก์ตั้งแต่ปี 2554 ซึ่งไม่เป็นไปตามคำฟ้องของโจทก์ที่อ้างว่าเป็นมูลหนี้ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2559 ทั้งยังได้ความจากคำเบิกความของพยานโจทก์ปากนายโอฬาร ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร สาขาท่าศาลา ตอบทนายจำเลยถามค้านว่า รูปแบบของเช็คพิพาทเป็นเช็คของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ที่ขายให้แก่ลูกค้าช่วงปี 2550 ถึง 2552 ปัจจุบันรูปแบบแตกต่างออกไปโดยปรับให้เล็กลงกว่าเดิมซึ่งเจือสมกับข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่าจำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อเป็นการค้ำประกันให้แก่โจทก์ในปี 2552 และโจทก์ยังฎีกายอมรับว่าเช็คพิพาทเป็นเช็คที่ไม่ได้ลงวันที่สั่งจ่ายซึ่งไม่เป็นไปในแนวทางเดียวกับคำฟ้องของโจทก์เพราะโจทก์ไม่เคยอ้างว่าจำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทโดยไม่ได้ลงวันที่ ฎีกาของโจทก์กลับไปเจือสมกับข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่า จำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทโดยไม่ได้ลงวันที่เพื่อเป็นการค้ำประกันหนี้ในปี 2552 ดังนี้พยานหลักฐานของจำเลยจึงมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นที่ยุติได้ว่า เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2559 จำเลยมิได้ซื้อสินค้าจำพวกปลาและอาหารปลาไปจากโจทก์ ดังนั้นที่โจทก์อ้างว่าจำเลยลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ค่าซื้อปลาและอาหารปลาในปี 2559 แก่โจทก์จึงรับฟังไม่ได้ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยมาศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 มิได้พิพากษาสั่งค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี จึงเป็นการไม่ถูกต้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 วรรคหนึ่ง และมาตรา 167 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาเห็นควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกา ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 8 ให้เป็นพับ