โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาเพิกถอนหรือแก้ไขการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินภาษีการค้าจังหวัดพิษณุโลก เลขที่ 60 38/3/0001700019 ลงวันที่ 29 สิงหาคม 2532 (ที่ถูก 2529) กับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามแบบ ภ.ส.7 เลขที่ 2 ลงวันที่15 มิถุนายน 2532 นั้นเสีย
จำเลยทั้งสี่ให้การ ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์ได้ซื้อที่ดินที่ตำบลบางระกำ อำเภอบางระกำจังหวัดพิษณุโลกเนื้อที่ประมาณ 16 ไร่เศษ มาแบ่งเป็นแปลงย่อยขายให้ผู้อื่น ในการซื้อขายโจทก์ได้จดทะเบียนนิติกรรมโดยระบุว่าขายเฉพาะที่ดิน ส่วนอาคารผู้ซื้อเป็นผู้ปลูกสร้างเอง ในการทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน โจทก์ลงชื่อเป็นผู้จะขาย และประทับตราบริษัทบูรพาเอ็นจิเนียริ่ง (กรุงเทพ) จำกัด ซึ่งโจทก์เป็นกรรมการผู้จัดการ และในวันเดียวกันยังได้ทำสัญญาจ้างเหมาปลูกสร้างอาคารโดยโจทก์ลงชื่อเป็นผู้รับจ้างเหมาและประทับตราบริษัทบูรพาเอ็นจิเนียริ่ง (กรุงเทพ) จำกัด เหมือนสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน ในการแบ่งขายที่ดินและรับจ้างปลูกสร้างอาคาร โจทก์และบริษัทบูรพาเอ็นจิเนียริ่ง (กรุงเทพ) จำกัด ไม่ได้เสียภาษีการค้าแต่อย่างใด เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 จึงได้ประเมินให้โจทก์เสียภาษีการค้าประเภทการค้า 11 การค้าอสังหาริมทรัพย์สำหรับเดือนธันวาคม 2527 เป็นเงินภาษีการค้าเบี้ยปรับเงินเพิ่มและภาษีบำรุงเทศบาลจำนวน 827,996.40 บาท เดือนมกราคม-ธันวาคม2528 จำนวน 2,709,268.58 บาท และ เดือนมกราคม-สิงหาคม2529 ให้เสียเบี้ยปรับและภาษีบำรุงเทศบาลรวมเป็นเงินจำนวน1,760 บาท โจทก์ได้อุทธรณ์คัดค้านประเมินต่อจำเลยที่ 2 ที่ 3และที่ 4 ซึ่งเป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ให้ยกอุทธรณ์โจทก์
ข้อต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์โจทก์มีว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบหรือไม่ โดยโจทก์อ้างว่าจำเลยได้นำรายรับจากการรับเหมาก่อสร้างของบริษัทบูรพาเอ็นจิเนียริ่ง (กรุงเทพ) จำกัด มาถือเป็นรายรับของโจทก์เห็นว่า รายรับส่วนนี้โจทก์อ้างว่าเป็นรายรับจากการรับเหมาก่อสร้างอาคารพาณิชย์บนที่ดินที่โจทก์ได้ซื้อมาแล้วจัดสรรแบ่งขายเป็นแปลง ๆ ส่วนการก่อสร้างอาคารพาณิชย์ผู้ซื้อที่ดินเป็นผู้ตกลงจ้างบริษัทบูรพาเอ็นจิเนียริ่ง (กรุงเทพ) จำกัด ตามเอกสารหมาย จ.2-จ.4 โดยมีตัวโจทก์เบิกความสนับสนุนเอกสารเหล่านั้น แต่เมื่อพิจารณาพยานโจทก์ดังกล่าว ประกอบคำพยานจำเลยและพฤติการณ์ที่โจทก์ได้ให้การไว้ชั้นไต่สวนของเจ้าพนักงานก่อนที่จะประเมินภาษี ตามคำเบิกความของนางวาสนา บำรุงสุข ว่าได้สอบถามผู้ที่ซื้อที่ดินและอาคารพาณิชย์ทุกรายให้การตรงกันว่าได้ซื้อที่ดินและอาคารพาณิชย์จากโจทก์ และในการทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน และจ้างเหมาปลูกสร้างอาคารตามเอกสารหมาย จ.2-จ.4 ได้กระทำในวันเดียวกันโดยโจทก์ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทบูรพาเอ็นจิเนียริ่ง (กรุงเทพ) จำกัด เป็นผู้ลงนามและประทับตราบริษัท โดยเฉพาะในสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโจทก์รับว่าเป็นที่ดินของโจทก์เอง แต่ก็ได้จัดทำเหมือนสัญญาจ้างเหมาปลูกสร้างอาคารและได้กระทำในวันเดียวกัน เป็นการสนับสนุนให้เห็นว่าน่าจะเป็นของเจ้าของรายเดียวกันทั้งโจทก์เคยให้การต่อเจ้าพนักงานประเมินในชั้นไต่สวนว่า ผู้ซื้อที่ดินได้ว่าจ้างโจทก์ให้ปลูกสร้างอาคารในที่ดินที่ซื้อ ทั้งบริษัทบูรพาเอ็นจิเนียริ่ง (กรุงเทพ) จำกัดไม่เคยเสียภาษีเกี่ยวกับรายรับจากการรับเหมาก่อสร้างอาคารเลยเป็นพฤติการณ์ที่ชี้ให้เห็นว่าโจทก์เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างรายนี้จึงต้องเสียภาษีการค้าสำหรับรายรับจากการรับเหมาก่อสร้างอาคารที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษานั้นชอบแล้วอุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน