โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญาเช่าตึกเลขที่ 2738จากโจทก์อัตราค่าเช่าเดือนละ 350 บาท ก่อนครบกำหนดเวลาตามสัญญาเช่าโจทก์ได้แจ้งแก่จำเลยว่าไม่ประสงค์ให้จำเลยเช่าตึกอีกต่อไป แต่เมื่อครบกำหนดเวลาตามสัญญาจำเลยและบริวารยังคงอยู่ในตึกที่เช่าต่อไป โจทก์จึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาพร้อมกับให้จำเลยและบริวารออกจากตึกที่เช่าภายใน 30 วัน แต่จำเลยและบริวารไม่ยอมออกไปทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้จำเลยชำระเงินจำนวน 17,626 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะส่งมอบและออกไปจากตึกที่เช่า ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากตึกเลขที่ 2738 ถนนสุขุมวิทตำบลบางนา อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร
จำเลยให้การว่า โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าเป็น 2 ฉบับฉบับแรก ลงวันที่ 24 ตุลาคม 2527 มีระยะเวลาการเช่า3 ปี ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 24 ตุลาคม 2530 มีระยะเวลาการเช่า 1 ปี 3 เดือน สัญญาทั้งสองฉบับทำพร้อมกันในวันเดียวกันเป็นการหลีกเลี่ยงกฎหมายเป็นโมฆะ สัญญาเช่าฉบับที่ 2 จนถึงปัจจุบันจึงเป็นการเช่าไม่มีกำหนดระยะเวลาการเช่า การบอกกล่าวเลิกสัญญาของโจทก์ไม่มีผลตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากตึกแถวที่ 2738 ให้จำเลยชำระเงิน 9,375 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 2 มิถุนายน 2532) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ในอัตราเดือนละ 4,500 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจำเลยจะส่งมอบและออกไปจากตึกพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่า คดีนี้เป็นคดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันอาจให้เช่าได้เกินกว่าเดือนละ 2,000 บาทไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงนั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกพิพาทตามสัญญาเช่าซึ่งกำหนดไว้โดยชัดแจ้งแล้ว ค่าเช่าเดือนละ 350 บาท แม้โจทก์จะเรียกค่าเสียหายเดือนละ 10,000 บาท ภายหลังบอกเลิกสัญญามาด้วยทั้งก่อนฟ้องและหลังฟ้องไปจนกว่าจำเลยจะส่งมอบและออกไปจากตึกพิพาท ค่าเสียหายดังกล่าวมิใช่ค่าเช่าจึงเป็นคดีฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 2,000 บาทต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 (เดิม)ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะที่จำเลยยื่นอุทธรณ์ คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ในข้อนี้ชอบแล้ว
ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โดยอ้างว่าจำเลยมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในศาลชั้นต้นและไม่มีเหตุเพียงพอที่จะยกขึ้นวินิจฉัยเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า อำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายแต่ข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์มีสิทธิในตึกพิพาทหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงที่นำไปสู่ข้อกฎหมายดังกล่าว จำเลยมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การจึงมิใช่เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น อุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 (เดิม)ที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยให้นั้นชอบแล้ว อนึ่ง ปัญหาข้อกฎหมายนั้นแม้จะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนคู่ความมีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ได้ก็ตาม แต่ศาลอุทธรณ์ก็ชอบที่จะไม่ยกขึ้นวินิจฉัยได้ในเมื่อเห็นสมควรตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)ประกอบมาตรา 246
พิพากษายืน