โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2541 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 10 เม็ด น้ำหนัก 0.880กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำนวนดังกล่าวให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อโดยไม่ได้รับอนุญาต และมีเฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1จำนวน 1 หลอด น้ำหนัก 0.048 กรัม ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 67 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และนับโทษจำเลยต่อกับโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2376/2542 ของศาลชั้นต้นกับคืนธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อแก่เจ้าของ
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง คืนธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อจำนวน 1,000 บาท แก่เจ้าของ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง, 67 ความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทแต่เนื่องจากความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวมีโทษเท่ากัน จึงให้ลงโทษฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 5 ปี และความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 6 ปี นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1376/2541 (ที่ถูก 2376/2542) ของศาลชั้นต้น ธนบัตรของกลางคืนเจ้าของ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยและยึดได้เมทแอมเฟตามีนจำนวน 10 เม็ด น้ำหนัก 0.880 กรัม เฮโรอีนจำนวน 1 หลอด น้ำหนัก 0.048 กรัม และธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท จำนวน 1 ฉบับ เป็นของกลางคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีจ่าสิบตำรวจสุริยัน อัลยุฟรี และสิบตำรวจเอกบอรอเหม สะมะแอ ซึ่งเป็นผู้ร่วมจับกุมจำเลยเป็นพยานเบิกความว่า ในวันเกิดเหตุมีสายลับมาแจ้งว่าจำเลยลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนอยู่ที่ปั๊มน้ำมันที่เกิดเหตุในเวลากลางคืนเป็นประจำ และสายลับสามารถล่อซื้อได้ จึงวางแผนจับกุมโดยนำธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท จำนวน 1 ฉบับ ไปถ่ายสำเนาเอกสารและลงบันทึกไว้ในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี แล้วมอบธนบัตรให้สายลับนำไปใช้ล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลย โดยสิบตำรวจเอกบอรอเหมกับพวกไปซุ่มดูอยู่ในรถยนต์ซึ่งจอดไว้บนถนนฝั่งตรงข้ามปั๊มน้ำมันและจ่าสิบตำรวจสุริยันกับพวกไปจอดรถจักรยานยนต์รออยู่ในซอยศรีนาเจริญ ซึ่งอยู่เยื้องกับปั๊มน้ำมัน ครั้นเวลา 19 นาฬิกาเศษสายลับขับรถจักรยานยนต์เข้าไปจอดในปั๊มน้ำมันได้ประมาณ 5 นาที ถึง 10 นาที ก็มีจำเลยขับรถจักรยานยนต์เข้าไปจอดเทียบและคุยกัน สักครู่ก็มีการส่งมอบสิ่งของให้แก่กันจากนั้นสายลับใช้มือลูบศีรษะส่งสัญญาณให้ทราบว่าล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนได้แล้วพยานโจทก์ทั้งสองกับพวกจึงพากันขับรถไปที่ปั๊มน้ำมันเพื่อจับกุมจำเลย แต่จำเลยไหวทันได้ขับรถจักรยานยนต์หลบหนีเข้าไปในซอยข้างปั๊มน้ำมัน พยานโจทก์ทั้งสองกับพวกขับรถไล่ติดตามไปได้ประมาณ 150 เมตร ถึงทางโค้งรถจักรยานยนต์ของจำเลยเสียหลักล้มลง จำเลยลุกขึ้นวิ่งหนีเข้าไปข้างทางพยานโจทก์ทั้งสองกับพวกวิ่งไล่ติดตามจับกุมจำเลยไว้ได้ จากการตรวจค้นตัวจำเลยพบธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท จำนวน 1 ฉบับที่ใช้ล่อซื้อ และเฮโรอีนจำนวน 1 หลอด ในกระเป๋าเสื้อของจำเลย เมื่อนำเมทแอมเฟตามีนจำนวน 10 เม็ด ที่ได้จากสายลับมาให้จำเลยดู จำเลยยอมรับว่าเป็นของจำเลยที่ได้จำหน่ายให้แก่สายลับ เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสองปากนี้เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติราชการตามหน้าที่และไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยทั้งสองมาก่อน จึงไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลย ทั้งต่างเบิกความได้สอดคล้องต้องกันโดยตลอด คำเบิกความจึงมีน้ำหนักให้รับฟัง เชื่อได้ว่าพยานโจทก์ทั้งสองได้เบิกความไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง ที่จำเลยนำสืบปฏิเสธว่าขณะจำเลยไปรับประทานก๋วยเตี๋ยวอยู่ที่ตลาดโต้รุ่งในอำเภอเมืองปัตตานี มีเจ้าพนักงานตำรวจไปบอกให้จำเลยไปที่สถานีตำรวจอ้างว่ามีธุระจะพูดด้วย แต่เมื่อจำเลยไปถึงสถานีตำรวจเจ้าพนักงานตำรวจได้จับกุมจำเลยโดยกล่าวหาว่าจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนนั้นมีเพียงคำเบิกความลอย ๆ ของจำเลย จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ที่จำเลยฎีกาอ้างว่า คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองที่ว่าสายลับมาแจ้งว่าจำเลยลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนอยู่ในปั๊มน้ำมันและต่อมาจำเลยได้ขับรถจักรยานยนต์นำเมทแอมเฟตามีนมาส่งให้แก่สายลับในปั๊มน้ำมันเป็นพิรุธไม่น่าเชื่อถือเพราะเมื่อสายลับขับรถจักรยานยนต์ไปที่ปั๊มน้ำมันเพื่อล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนกลับไม่พบจำเลย ทั้งไม่ปรากฏว่าได้มีการติดต่อจำเลยเพื่อให้นำเมทแอมเฟตามีนมาส่งให้แก่สายลับแต่อย่างใดนั้น เห็นว่า จำเลยเพียงแต่มาลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนที่ปั๊มน้ำมันเป็นประจำเท่านั้น หาได้หมายความว่าจำเลยจะต้องอยู่ที่ปั๊มน้ำมันตลอดเวลาไม่ จำเลยจึงอาจไม่ได้มาอยู่ที่ปั๊มน้ำมันในบางช่วงเวลาได้ และเนื่องจากจำเลยใช้ปั๊มน้ำมันเป็นสถานที่ลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนอยู่เป็นประจำ สายลับกับจำเลยย่อมสามารถติดต่อซื้อขายเมทแอมเฟตามีนกันที่ปั๊มน้ำมันโดยไม่จำต้องนัดหมายกันก่อน คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองหาเป็นพิรุธไม่ ข้อที่จำเลยฎีกาอ้างว่า คำเบิกความของจ่าสิบตำรวจสุริยันที่ว่าเห็นจำเลยขับรถจักรยานยนต์ผ่านซอยศรีนาเจริญไปยังปั๊มน้ำมันที่เกิดเหตุเป็นพิรุธน่าสงสัยเพราะความจริงจำเลยไม่ได้ขับรถจักรยานยนต์ผ่านซอยศรีนาเจริญนั้น ปรากฏว่าจ่าสิบตำรวจสุริยันเบิกความว่า เห็นสายลับขับรถจักรยานยนต์ผ่านซอยศรีนาเจริญเข้าไปจอดที่ปั๊มน้ำมัน และได้รับแจ้งทางวิทยุว่าจำเลยขับรถจักรยานยนต์มาจากถนนนาเกลือเข้าไปคุยกับสายลับที่ปั๊มน้ำมันหาได้เบิกความว่าเห็นจำเลยขับรถจักรยานยนต์ผ่านซอยศรีนาเจริญดังที่จำเลยอ้างแต่อย่างใดไม่ คำเบิกความของจ่าสิบตำรวจสุริยันจึงไม่เป็นพิรุธน่าสงสัย ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า สิบตำรวจเอกบอรอเหมพยานโจทก์เบิกความว่า บริเวณที่สายลับล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยมีแสงสว่างจากไฟฟ้าที่ปั๊มน้ำมันและไฟฟ้าข้างทาง และจ่าสิบตำรวจสุริยันกับสิบตำรวจเอกบอรอเหมพยานโจทก์เบิกความว่าบริเวณที่จับกุมจำเลยได้เป็นบริเวณหลังบ้านของผู้ใหญ่บ้านซึ่งมีแสงไฟส่งสว่างจากบ้านของผู้ใหญ่บ้าน และจากรถยนต์กับไฟฉายของเจ้าพนักงานตำรวจ แต่ตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุและบันทึกการจับกุมไม่ได้ระบุตำแหน่งเสาไฟฟ้าข้างทางและรายละเอียดของแสงไฟดังที่พยานโจทก์ทั้งสองเบิกความจึงเป็นพิรุธนั้นเห็นว่า บริเวณที่สายลับล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยเป็นปั๊มน้ำมัน ซึ่งนอกจากจะมีแสงไฟจากเสาไฟฟ้าข้างทางแล้วยังมีแสงไฟฟ้าจากปั๊มน้ำมันซึ่งยังเปิดบริการอยู่อีกด้วย สำหรับบริเวณที่จับกุมจำเลยได้ นอกจากจะมีแสงไฟฟ้าจากบ้านของผู้ใหญ่บ้านแล้วก็ยังมีแสงไฟจากรถยนต์และไฟฉายของเจ้าพนักงานตำรวจ ฉะนั้น แม้จะไม่ได้มีการระบุตำแหน่งของเสาไฟฟ้าข้างทางและรายละเอียดของแสงไฟไว้ในแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุและบันทึกการจับกุมก็ตาม ก็เชื่อได้ว่ามีแสงไฟสว่างเพียงพอที่พยานโจทก์จะเห็นการล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนและจับกุมจำเลยได้ หาเป็นข้อพิรุธดังที่จำเลยฎีกาไม่ พยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักและเหตุผลที่จะหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น และศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า การที่จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำนวน 10 เม็ด และจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวให้แก่สายลับไปทั้งหมด ต่อมาเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจเข้าตรวจค้นจับกุมจำเลยพบว่ายังมีเฮโรอีนอยู่ในครอบครองที่ตัวจำเลยอีกจำนวน 1 หลอด นั้นแสดงว่าจำเลยมีเจตนาครอบครองเมทแอมเฟตามีนและเฮโรอีนดังกล่าวไว้ในลักษณะต่างกันถือได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดสองกรรมต่างกันดังโจทก์ฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามานั้นชอบแล้ว
อนึ่ง ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ได้มีพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 มาตรา 8 และมาตรา 19 ยกเลิกความในมาตรา 15 มาตรา 66 และมาตรา 67 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และให้ใช้ข้อความใหม่แทน โดยในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมาตรา 15วรรคสาม(2) ที่แก้ไขใหม่บัญญัติความว่า การมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ที่มีสารแอมเฟตามีนหรืออนุพันธ์แอมเฟตามีนมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ตั้งแต่สามร้อย-เจ็ดสิบห้ามิลลิกรัมขึ้นไป หรือมียาเสพติดที่มีสารดังกล่าวผสมอยู่จำนวนสิบห้าหน่วยการใช้ขึ้นไป หรือมีน้ำหนักสุทธิตั้งแต่หนึ่งจุดห้ากรัมขึ้นไปให้ถือว่าเป็นการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แตกต่างจากกฎหมายเดิมในมาตรา 15 วรรคสอง ที่กำหนดเฉพาะปริมาณที่คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ยี่สิบกรัมขึ้นไปเท่านั้น โดยไม่คำนึงว่าจะมีจำนวนหน่วยการใช้หรือน้ำหนักสุทธิมากน้อยเพียงใด ดังนั้น เงื่อนไขที่เป็นองค์ประกอบความผิดดังกล่าวตามกฎหมายเดิมเป็นคุณมากกว่ากฎหมายที่แก้ไขใหม่จึงต้องใช้กฎหมายเดิมในส่วนที่เป็นบทความผิดบังคับแก่จำเลย ส่วนความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนทั้งตามกฎหมายเดิมและกฎหมายที่แก้ไขใหม่มีข้อความทำนองเดียวกันตามมาตรา 15 วรรคหนึ่ง จึงต้องใช้กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดบังคับแก่จำเลย สำหรับคดีนี้จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำนวน10 เม็ด น้ำหนัก 0.880 กรัม และจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำนวนดังกล่าวไปทั้งหมดโดยไม่ปรากฏว่าเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้เท่าใดกรณีความผิดทั้งสองฐานต้องด้วยบทกำหนดโทษตามมาตรา 66 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ซึ่งมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึงสิบห้าปี หรือปรับตั้งแต่แปดหมื่นบาทถึงสามแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ แตกต่างจากมาตรา 66 วรรคหนึ่ง ตามกฎหมายเดิมที่มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงจำคุกตลอดชีวิตและปรับตั้งแต่ห้าหมื่นบาทถึงห้าแสนบาท โทษจำคุกตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่เป็นคุณมากกว่า จึงต้องใช้กฎหมายที่แก้ไขใหม่บังคับแก่จำเลย ส่วนความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 15 วรรคหนึ่ง ทั้งตามกฎหมายเดิมและกฎหมายที่แก้ไขใหม่คงใช้ข้อความทำนองเดียวกัน จึงต้องใช้กฎหมายเดิมบังคับแก่จำเลยในส่วนนี้ ส่วนกำหนดโทษนั้นตามกฎหมายเดิม มาตรา 67มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท สำหรับกฎหมายที่แก้ไขใหม่ มาตรา 67 มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ จะเห็นได้ว่าแม้ตามกฎหมายเดิมและกฎหมายที่แก้ไขใหม่ตามมาตรา 67 มีระวางโทษจำคุกเท่ากัน และตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่จะมีระวางโทษปรับสูงกว่าโทษปรับตามกฎหมายเดิม แต่ก็เป็นการบัญญัติให้ลงโทษจำคุก หรือปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ แตกต่างจากกฎหมายเดิมที่กำหนดให้ลงโทษจำคุกและปรับเท่านั้น จึงต้องถือว่ากฎหมายที่แก้ไขใหม่เป็นคุณแก่จำเลยมากกว่าในส่วนที่เกี่ยวกับโทษซึ่งมีหลายสถานที่จะลงได้ จึงต้องใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณบังคับแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาจึงมีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขโดยปรับบทกฎหมายให้ถูกต้อง รวมทั้งแก้ไขโทษในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเสียใหม่ให้เหมาะสมสอดคล้องกับบทกฎหมายที่แก้ไขใหม่ได้ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225"
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 66 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่), 67 (ที่แก้ไขใหม่)การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทซึ่งแต่ละบทมีโทษเท่ากันจึงให้ลงโทษฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จำคุก 4 ปี สำหรับความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตอีกกรรมหนึ่งนั้น จำคุก 1 ปี รวมเป็นจำคุก 5 ปี นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2376/2542 ของศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9