โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484มาตรา 11, 48, 73, 74 จัตวา สั่งริบของกลาง และจ่ายสินบนนำจับตามกฎหมาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 48, 73 วรรคสอง, 74 ลงโทษจำคุก 9 ปี การนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี ริบของกลางส่วนที่ขอให้จ่ายสินบนนำจับ ศาลมิได้ลงโทษปรับ จึงให้ยกคำขอส่วนนี้
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "สำหรับปัญหาที่ว่า ตอไม้ตะเคียนทองจำนวน2 ตอ ดังกล่าวอยู่ในเขตที่ดินของจำเลยหรืออยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาตินั้น ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า พยานโจทก์มีแต่พยานบุคคลเบิกความลอย ๆไม่ปรากฏพยานหลักฐานเอกสารใด ๆ มายืนยันให้เห็นโดยชัดแจ้งว่าตอไม้ดังกล่าวอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ข้อนี้ โจทก์มีนายธนู สุขฉายา นายอำเภอน้ำโสม นายประเสริฐ ลี้ตระกูลป่าไม้อำเภอน้ำโสม นายมานพ ฐิติชัยรัตน์ ซึ่งขณะเกิดเหตุดำรงตำแหน่งที่ดินอำเภอน้ำโสม และนายฉลาด ผลสุข กำนันตำบลน้ำโสม เป็นพยานโดยเบิกความในทำนองเดียวกันว่า ตอไม้ตะเคียนทองจำนวน 2 ตอ อยู่นอกเขตที่ดินของจำเลยและอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติฝ่ายจำเลยนำสืบยืนยันว่า ตอไม้ตะเคียนทองดังกล่าวอยู่ในเขตที่ดินของจำเลย ซึ่งจำเลยทำไร่ข้าวโพดมานานแล้ว และจำเลยได้ขออนุญาตตัดฟันต่อทางราชการแล้ว ปรากฏรายละเอียดตามเอกสารหมาย ล.1 ถึงล.5 ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า นอกจากโจทก์มีแต่พยานบุคคลเบิกความกล่าวอ้างลอย ๆ ว่า ตอไม้ดังกล่าวอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยปราศจากพยานหลักฐานเอกสารใด ๆ ที่จะยืนยันให้เห็นโดยชัดแจ้งตามข้อกล่าวอ้างแล้วนายฉลาดพยานโจทก์ยังได้ตอบโจทก์ถามติงว่าที่ดินซึ่งมีตอไม้ทั้ง 2 ตออยู่เป็นไร่ข้าวโพดของจำเลยทำอยู่จำเลยทำไร่บริเวณนั้นมานานแล้ว ตั้งแต่พยานเกิดมาก็เห็นแล้วส่วนนายประเสริฐพยานโจทก์ก็ได้ตอบทนายจำเลยถามค้านว่าบริเวณตอไม้เป็นพื้นที่ซึ่งได้ถากถางสำหรับทำไร่ทำนา ไม่มีสภาพเป็นป่านอกจากนั้นนายมานพพยานโจทก์อีกปากหนึ่งก็ตอบทนายจำเลยถามค้านว่าสภาพบริเวณที่พบตอไม้ไม่มีสภาพเป็นป่า แต่เป็นที่ดินซึ่งถากถางแล้วตอไม้อยู่ริมฝั่งลำห้วยด้านที่ดินของจำเลย ศาลฎีกาได้ตรวจพิเคราะห์หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ของจำเลย เอกสารหมาย ล.3ปรากฏว่า ที่ดินที่จำเลยมีสิทธิครอบครองมีแนวเขตด้านทิศตะวันออกจดลำห้วยด้วย ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมายังฟังไม่ได้ชัดแจ้งว่าต้นไม้ตะเคียนทอง 2 ต้น ที่โต้เถียงกันอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่กรณีมีความสงสัยตามสมควรว่า ไม้แปรรูปของกลางอาจเป็นไม้ที่แปรรูปจากต้นไม้ตะเคียนทองที่มิได้ตัดฟันจากป่าก็ได้ ทั้งไม่ใช่เป็นไม้สักหรือไม้ยาง จึงอาจไม่เป็นไม้หวงห้ามตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติ ป่าไม้ พ.ศ. 2484 ซึ่งอาจได้รับการยกเว้นให้มีไว้ในครอบครองโดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 50(4) ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสองที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน