โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2546 จำเลยยื่นคำขอใช้วงเงินสินเชื่อจากโจทก์ 24,300 บาท โจทก์อนุมัติวงเงินกู้ให้แก่จำเลยและโอนเงินกู้เข้าบัญชีของจำเลยแล้ว หลังจากได้รับเงินกู้จำเลยผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์บางส่วนแล้วผิดนัดไม่ชำระ จำเลยต้องรับผิดชำระหนี้ในต้นเงิน 19,702.69 บาท พร้อมดอกเบี้ยอ้ตราร้อยละ 12 ต่อปี นับแต่วันชำระหนี้ครั้งสุดท้ายถึงวันฟ้อง และค่าธรรมเนียมการชำระหนี้ล่าช้า รวมทั้งสิ้น 22,165.82 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 22,165.82 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี ของต้นเงิน 19,702.69 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้ว เห็นว่า มูลคดีและภูมิลำเนาของจำเลยมิได้อยู่ในเขตอำนาจศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องคืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวิวิจฉัยว่า "คดีนี้โจทก์ยื่นคำร้องขออนุญาตอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาพร้อมคำฟ้องอุทธรณ์แม้ศาลชั้นต้นจะมิได้สั่งอนุญาต แต่การที่จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วไม่คัดค้านและศาลชั้นต้นส่งสำนวนมายังศาลฎีกา พออนุโลมได้ว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ วรรคหนึ่งแล้ว ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์มีว่า ศาลชั้นต้น (ศาลแขวงปทุมวัน) มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้หรือไม่ ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องรับฟังได้ว่า ในการขอกู้เงินโจทก์ตามฟ้องจำเลยได้ดำเนินการโดยยื่นคำขอใช้วงเงินสินเชื่อต่อเจ้าหน้าที่การตลาดสินเชื่อรายย่อย ซึ่งในคำขอดังกล่าวระบุให้โจทก์นำฝากหรือโอนเงินกู้เข้าบัญชีของจำเลยที่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขา สุขาภิบาล 1 โดยให้ถือว่าจำเลยได้รับเงินกู้ถูกต้องนับแต่วันที่โจทก์นำฝากหรือโอนเงินกู้เข้าบัญชีของจำเลย หลังจากเจ้าหน้าที่ดังกล่าวรับคำขอใช้วงเงินสินเชื่อของจำเลยแล้วก็ได้ส่งไปให้โจทก์พิจารณาที่สำนักงานใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ที่แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร โจทก์พิจารณาแล้วอนุมัติเงินกู้ให้แก่จำเลยและนำเงินกู้ไปฝากหรือโอนเข้าบัญชีของจำเลยตามที่ระบุไว้โดยดำเนินการฝากหรือโอนที่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาสยามสแควร์ กรณีจึงเห็นได้ว่า การอนุมัติวงเงินกู้และโอนเงินกู้ซึ่งถือว่าเป็นการส่งมอบเงินกู้รายนี้ของโจทก์ได้กระทำในท้องที่เขตปทุมวันซึ่งอยู่ในเขตศาลชั้นต้นคือศาลแขวงปทุมวัน ถือได้ว่ามูลคดีนี้เกิดในเขตศาลชั้นต้นอีกแห่งหนึ่งด้วย โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(1), 5 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของโจทก์จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ