โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินค่าทดแทนที่ดินที่ถูกเวนคืน ๑๑๘,๗๐๓,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ทั้งสอง และร่วมกันชำระเงิน ๖๔,๘๐๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ที่ ๒ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๘.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๓๗ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า? ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน ๑๗,๗๕๙,๕๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสิน แต่ไม่เกินร้อยละ ๘.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๓๗ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ ๑ และให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ที่ ๑ และให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ที่ ๑ โดยกำหนดค่าทนายความ ๕๐,๐๐๐ บาท ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ ๒ ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์ที่ ๒ กับจำเลยทั้งสี่ให้เป็นพับ คำขออื่นของโจทก์ที่ ๑ นอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงิน ๑๒,๒๕๗,๒๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๗ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว วินิจฉัยว่า? พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้กำหนดบุคคลผู้ที่จะมีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนอันเนื่องจากการดำเนินการเพื่อเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ไว้ในมาตรา ๑๘ (๑) ถึง (๖) การดำเนินการเพื่อเวนคืนอสังหาริมทรัพย์รายการเดียวก็อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อบุคคลหลายฝ่ายได้ อันเป็นเหตุให้เกิดสิทธิแก่บุคคลหลายคนที่จะได้รับเงินค่าทดแทนแยกต่างหากจากกันได้ สำหรับเงินค่าทดแทนที่ดินที่ถูกเวนคืนและเงินค่าทดแทนสำหรับที่ดินที่เหลือจากการเวนคืนอันราคาลดลงนี้เป็นการชดเชยความเสียหายอันเนื่องมาจากการบังคับเอาที่ดินมาจากเจ้าของที่ดินเป็นการชดเชยความเสียหายอันเนื่องมาจากที่ดินที่เหลือจากการเวนคืนอันราคาลดลงตามลำดับผู้ที่ถูกบังคับเอาที่ดินไปและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากที่ดินที่เหลือจากการเวนคืนอันราคาลดลง คือเจ้าของที่ดิน ซึ่งกรณีนี้คือโจทก์ที่ ๑ โจทก์ที่ ๒ ยังไม่ได้เป็นเจ้าของหรือเจ้าของร่วมในที่ดินที่ถูกเวนคืนทั้งสี่แปลง และไม่ได้โต้แย้งสิทธิดังกล่าวของโจทก์ที่ ๑ จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอเงินค่าทดแทนที่ดินเพิ่มขึ้นและเงินค่าทดแทนสำหรับที่ดินที่เหลือจากการเวนคืนอันราคาลดลง ส่วนค่าเสียหายที่ไม่อาจทำประโยชน์หรือทำโครงการทางธุรกิจของโจทก์ที่ ๒ อันเนื่อง มาจากการที่ที่ดินทั้งสี่แปลงถูกเวนคืนนั้น เห็นว่า ผู้ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายที่จะมีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนสำหรับความเสียหายเนื่องจากการที่ต้องออกจากอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืนตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องเวนคืนนั้นและบุคคลดังกล่าวได้รับความเสียหายเนื่องจากการที่ต้องออกจากอสังหาริมทรัพย์นั้น ต่อขณะที่พระราชกฤษฎีกาฯมีผลใช้บังคับที่ดินทั้งสี่แปลงที่ถูกเวนคืนยังเป็นที่ดินว่างเปล่าระดับต่ำกว่าถนนประมาณ ๑ เมตร ถึง ๑.๕ เมตร ตามรายงานการประเมินเอกสารหมาย จ.๒๑ ถึง จ.๒๕ โจทก์ที่ ๒ ยังมิได้อยู่อาศัยหรือประกอบการค้าขายหรือการงานอันชอบด้วยกฎหมายอยู่ในที่ดินทั้งสี่แปลงที่ต้องถูกเวนคืน จึงไม่ใช่บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการที่ต้องออกจากที่ดินทั้งสี่แปลงที่ถูกเวนคืน ที่จะมีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนตามมาตรา ๒๑ วรรคท้าย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ที่ ๒ นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาข้อนี้ของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น?
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินค่าทดแทนที่ดินเพิ่มขึ้นจากคณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นฯกำหนดอีก ๒๐,๐๙๐,๒๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามอัตราและวันที่ศาลอุทธรณ์กำหนด นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ที่ ๑ โดยกำหนดค่าทนายความให้ ๒๐,๐๐๐ บาท ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีการะหว่างโจทก์ที่ ๒ กับจำเลยทั้งสี่ให้เป็นพับ