คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนรั้วที่จำเลยทำปิดกั้นที่ดินของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารยุ่งเกี่ยวกับที่ดินของโจทก์อีก จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง ระหว่างพิจารณาโจทก์และจำเลยแถลงร่วมกันขอถือเอาคำให้การของพยานโจทก์ทุกปากในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3309/2543 ของศาลชั้นต้นซึ่งศาลยกฟ้องในชั้นไต่สวนมูลฟ้องมาเป็นคำให้การพยานโจทก์ในคดีนี้ ศาลชั้นต้นอนุญาต ต่อมาศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้จำเลยเลื่อนคดีและมีคำสั่งให้งดสืบพยานเฉพาะตัวจำเลยที่อ้างตนเองเป็นพยานแล้วทนายจำเลยแถลงไม่สืบพยานจำเลยที่เหลือ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2545 ให้จำเลยรื้อถอนรั้วเหล็กและสังกะสีที่ทำปิดกั้นออกจากที่ดินของโจทก์และทำที่ดินของโจทก์ให้อยู่ในสภาพเดิม ห้ามจำเลยและบริวารเข้ายุ่งเกี่ยวในที่ดินส่วนที่เป็นของโจทก์ คดีถึงที่สุดโดยไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ วันที่ 18 ธันวาคม 2545 จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยมิได้ขาดนัดยื่นคำให้การและมิใช่กรณีที่จำเลยแพ้คดีเนื่องจากขาดนัดพิจารณา จำเลยไม่อาจขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้ จึงมีคำสั่งยกคำร้อง ปัญหาตามคำร้องดังกล่าวยุติไปแล้ว
ต่อมาวันที่ 24 ธันวาคม 2545 จำเลยยื่นคำร้องว่า การที่ศาลสั่งให้นำถ้อยคำของพยานโจทก์ทุกปากในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3309/2543 ของศาลชั้นต้น ที่ผูกรวมกับสำนวนคดีนี้มาเป็นคำให้การพยานโจทก์ในคดีนี้เป็นการคลาดเคลื่อนต่อกฎหมายเพราะเป็นถ้อยคำพยานในชั้นไต่สวนมูลฟ้องซึ่งจำเลยยังไม่มีฐานะเป็นจำเลย ทั้งศาลก็พิพากษายกฟ้อง การที่ศาลนำถ้อยคำพยานโจทก์ในคดีดังกล่าวมาวินิจฉัยแล้วพิพากษาให้โจทก์ (ที่ถูกจำเลย) แพ้คดี เป็นการวินิจฉัยคดีไปโดยผิดหลงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 หน้าที่นำสืบในคดีนี้ตกแก่โจทก์เมื่อโจทก์ไม่นำพยานมาสืบ โจทก์จึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดี ขอให้เพิกถอนคำพิพากษาและมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คู่ความแถลงร่วมกันโดยสมัครใจที่จะถือคำให้การพยานโจทก์ในคดีที่ผูกรวมเป็นคำให้การพยานโจทก์ในคดีนี้ ส่วนจำเลยก็ถือเอาคำซักค้านเช่นเดียวกัน ทั้งไม่มีกฎหมายห้ามมิให้รับฟังถ้อยคำพยานชั้นไต่สวนมูลฟ้อง การดำเนินกระบวนพิจารณาทั้งหมดจึงมิใช่เป็นการผิดหลงหรือผิดระเบียบ ไม่มีเหตุให้เพิกถอนคำสั่ง ให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยกคำร้องของจำเลยเนื่องจากเป็นคำร้องที่ยื่นภายหลังที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วนั้น ชอบหรือไม่ จำเลยฎีกาทำนองว่า จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ต้องถือว่าจำเลยได้ทราบพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้นเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2545 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยยื่นคำร้อง จำเลยจึงมีสิทธิยื่นคำร้องดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคสอง บัญญัติว่า "ข้อค้านเรื่องผิดระเบียบนั้น คู่ความฝ่ายที่เสียหายอาจยกขึ้นกล่าวได้ไม่ว่าในเวลาใดๆ ก่อนมีคำพิพากษา แต่ต้องไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่คู่ความฝ่ายนั้นได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น แต่ทั้งนี้คู่ความฝ่ายนั้นต้องมิได้ดำเนินการอันใดขึ้นใหม่หลังจากที่ได้ทราบเรื่องผิดระเบียบแล้ว หรือต้องมิได้ให้สัตยาบันแก่การผิดระเบียบนั้นๆ" ข้อเท็จจริงปรากฏตามสำนวนว่าในวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์และทนายจำเลยแถลงร่วมกันขอถือเอาคำให้การพยานโจทก์ทุกปากในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3309/2543 ของศาลชั้นต้นมาเป็นคำให้การพยานโจทก์ในคดีนี้เนื่องจากมีรายละเอียดการนำสืบและการซักค้านพยานเป็นเช่นเดียวกัน ศาลชั้นต้นอนุญาต และทนายจำเลยขอให้ศาลนัดสืบพยานต่อไป แต่ขอเลื่อนคดีในนัดต่อมาจนในที่สุดคดีเสร็จการพิจารณาโดยศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานปากตัวจำเลยและทนายจำเลยแถลงหมดพยาน ดังนี้ จำเลยย่อมทราบกระบวนพิจารณาที่อ้างว่าเป็นการผิดระเบียบดีอยู่แล้ว การที่จำเลยมิได้คัดค้านแต่กลับดำเนินกระบวนพิจารณานับแต่นั้นต่อมาจนคดีเสร็จการพิจารณา จึงเท่ากับว่าจำเลยได้ให้สัตยาบันแก่การดำเนินกระบวนพิจารณาที่อ้างว่าเป็นการผิดระเบียบนั้นแล้ว จำเลยจะยกขึ้นคัดค้านอีกไม่ได้ ในประการสำคัญศาลฎีกาเห็นว่า การที่โจทก์และจำเลยตกลงเห็นชอบร่วมกันให้ถือเอาถ้อยคำพยานโจทก์ที่เบิกความไว้ในคดีอื่นมาเป็นถ้อยคำพยานโจทก์ในคดีนี้นั้น ข้อตกลงดังกล่าวย่อมมีผลบังคับและศาลย่อมนำถ้อยคำพยานโจทก์ดังกล่าวมาวินิจฉัยได้ ไม่เป็นการผิดกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงมิใช่กระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบที่จำเลยจะขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นฎีกาให้เป็นพับ