โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2536 ผู้รักษาการแทนผู้จัดการของจำเลยได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่า โจทก์ได้ถูกคณะกรรมการดำเนินการของจำเลยมีมติเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2536ให้ปลดโจทก์ออกจากการเป็นพนักงานตั้งแต่วันที่2 เมษายน 2536 โดยจำเลยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิด จึงเป็นการเลิกจ้างอันไม่เป็นธรรม ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินแก่โจทก์ 1,313,002 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงิน1,290,420 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์เข้าทำงานไม่ตรงเวลาจำเลยได้ตักเตือนแล้วแต่โจทก์ยังไม่ปฏิบัติตามคำตักเตือนของจำเลย โจทก์คงมาทำงานสายอยู่เป็นประจำ จำเลยจึงมีมติให้ปลดโจทก์ออกจากการเป็นพนักงาน การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยชอบด้วยระเบียบเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยแล้วการกระทำของโจทก์เป็นการจงใจฝ่าฝืนระเบียบเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเป็นกรณีที่ร้ายแรง จำเลยจึงไม่ต้องบอกกล่าวเลิกจ้างโจทก์ล่วงหน้าไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย และเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรมแล้วจำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายในระหว่างที่โจทก์ทำงานกับจำเลยนั้น โจทก์ได้ขอยืมเงินทดรองจ่ายจากจำเลยไปเป็นเงิน 4,180 บาท และโจทก์ยังไม่ได้หักล้างเงินยืมดังกล่าว จำเลยจึงมีสิทธิที่จะตัดเงินค่าจ้างของโจทก์เพื่อชำระหนี้ดังกล่าวแก่จำเลย จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายเงินค่าจ้างจำนวน 4,288 บาท ให้แก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 974 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 3 เมษายน 2536 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ในเอกสารหมาย ล.9 นอกจากจะเป็นคำรับของโจทก์ว่ามาทำงานสายอันเป็นการกระทำฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลยแล้ว โจทก์ยังให้สัญญาว่าจะไม่มาทำงานสายอีก หากไม่ปฏิบัติตามคณะกรรมการสอบสวนจะได้พิจารณาเสนอให้ออกก่อนโดยไม่ได้บำเหน็จก็ได้โจทก์และคณะกรรมการสอบสวนได้ลงลายมือชื่อไว้ ข้อความตอนหลังที่แสดงให้เห็นว่าคณะกรรมการสอบสวนได้ตักเตือนไม่ให้โจทก์กระทำการฝ่าฝืนในเรื่องการมาทำงานสายซ้ำอีก ซึ่งหากกระทำซ้ำอีกก็จะต้องได้รับโทษถึงกับให้ออกอันมีลักษณะเป็นหนังสือเตือนอยู่ในตัวด้วย และคณะกรรมการสอบสวนผู้ลงลายมือชื่อในหนังสือนั้นได้รับการแต่งตั้งจากจำเลยให้ดำเนินการในเรื่องนี้ต่อโจทก์ย่อมมีอำนาจที่จะลงลายมือชื่อในหนังสือนั้นแทนจำเลยได้ เอกสารหมาย ล.9 นี้จึงเป็นหนังสือเตือนของจำเลยโดยชอบแล้ว เมื่อโจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลย และจำเลยได้เตือนเป็นหนังสือแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ เมื่อจำเลยมีเหตุเลิกจ้างโจทก์ดังกล่าว จำเลยก็ไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรมแล้วโจทก์ไม่อาจเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้
โจทก์อุทธรณ์อีกข้อหนึ่งว่า จำเลยจะนำเงินทดรองจ่ายมาหักกลบลบหนี้กับค่าจ้างของโจทก์ไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 346ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 286(3) เห็นว่า ในเรื่องนี้ได้มีข้อกำหนดไว้เป็นการเฉพาะอยู่ในประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 30 แล้วว่า "ในการจ่ายค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา และค่าทำงานในวันหยุด นายจ้างจะนำหนี้อื่นมาหักมิได้"การวินิจฉัยว่านายจ้างจะนำเงินทดรองจ่ายที่ลูกจ้างยืมไปมาหักชำระได้หรือไม่ จึงต้องวินิจฉัยจากข้อที่กำหนดไว้ในประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าว ซึ่งออกมาโดยอาศัยอำนาจแห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 103 ลงวันที่16 มีนาคม พ.ศ. 2515 ถือได้ว่าเป็นกฎหมายพิเศษไม่อาจนำกฎหมายที่โจทก์อ้างซึ่งบัญญัติไว้เป็นการทั่วไปมาวินิจฉัยได้ และเงินทดรองจ่ายที่โจทก์ได้ยืมจำเลยไปอันเนื่องมาจากการทำงาน มิใช่หนี้อื่นตามประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าว จำเลยจึงมีสิทธินำเงินทดรองจ่ายที่โจทก์ยืมไปมาหักจากเงินค่าจ้างที่จำเลยจะต้องจ่ายให้โจทก์ได้
พิพากษายืน