โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์รับประกันภัยวัว 707 ตัวไว้จากบริษัทดี เจ ฟาร์ม จำกัด ผู้ซื้อวัวจำนวนดังกล่าวจากบริษัทกิปส์แลนด์ แอนด์ นอร์ทเธิร์น จำกัด ผู้ขาย ที่กำหนดขนส่งจากเมื่อพอร์ทแลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ถึงกรุงเทพมหานครแล้วขนส่งโดยรถยนต์ต่อจากกรุงเทพมหานครไปยังฟาร์มที่จังหวัดปราจีนบุรี บริษัทกิปส์แลนด์ แอนด์ นอร์ทเธิร์น จำกัด ผู้ขายได้ว่าจ้างจำเลยที่ 1 ผู้ขายได้ว่าจ้างจำเลยที่ 1 ให้ขนส่งวัวรายนี้จากประเทศออสเตรเลียมายังกรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 1 ได้รับวัวครบถ้วนและในสภาพเรียบร้อยแล้วได้ออกใบตราส่งให้แก่ผู้ขาย ต่อมาเรือถึงกรุงเทพมหานครปรากฏว่าวัวโฮลสเต้น ไฟร์เซี่ยน ไฮเฟอร์ตาย 3 ตัว แท้ง 4 ตัว วัวเจอร์ซี่ ไฮเฟอร์ตาย 1 ตัว ในระหว่างการขนส่งของจำเลยที่ 1 ความเสียหายตามมูลค่าประกันภัยเป็นเงิน130,943.65 บาท และบริษัทดี เจ ฟาร์ม จำกัด ได้ไปขอรับวัวจากจำเลยที่ 1 และว่าจ้างจำเลยที่ 3 ขนส่งวัวที่มีชีวิตจากกรุงเทพมหานครไปยังฟาร์ม ปรากฏว่าเมื่อถึงฟาร์มที่จังหวัดปราจีนบุรีวัวโฮลสเต้น ไฟร์เซี่ยน ไฮเฟอร์ ตายอีก 3 ตัว แท้ง 6 ตัวกับบาดเจ็บและตายในเวลาต่อมาอีก 1 ตัว อันเนื่องมาจากการขนส่งของจำเลยที่ 3 ค่าเสียหายตามมูลค่าประกันภัยเป็นเงิน 148,521.69 บาทโจทก์ได้ชดใช้ค่าเสียหายโดยจ่ายให้แก่บริษัทดี เจ ฟาร์ม จำกัดเป็นเงินรวม 279,465.34 บาท จึงรับช่วงสิทธิมาเรียกร้อง จำเลยที่ 1ต้องรับผิดในฐานะผู้ขนส่ง และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวแทนโดยเป็นผู้ติดต่อแทนจำเลยที่ 1 ในส่วนกิจการรับขนในประเทศไทยเป็นลักษณะของการแบ่งงานกันทำเป็นทอด ๆ กับจำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ด้วย สำหรับจำเลยที่ 3 ต้องรับผิดในฐานะผู้รับขนจากเรือไปยังฟาร์ม ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชดใช้เงิน 137,490.83 บาท และจำเลยที่ 3 ชดใช้เงิน 155,947.77 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 130,943.65 บาท และ148,521.69 บาท ตามลำดับ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การและแก้ไขคำให้การว่า ในการขนส่งวัวรายนี้จำเลยที่ 1 กับบริษัทกิปส์แลด์ แอนด์ นอร์ทเธิร์น จำกัด มีข้อตกลงซึ่งมีหลักฐานเป็นใบตราส่งว่ากรณีที่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับการขนส่งขึ้นแล้วให้ชี้ขาดโดยศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีทางทะเลและทางการค้าแห่งกรุงโคเปนเฮเกน และให้ใช้กฎหมายของประเทศเดนมาร์กซึ่งมีผลให้โจทก์ผู้รับช่วงสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลแพ่ง จำเลยที่ 1 ได้ใช้วิธีบรรทุกวัวถูกต้องตามมาตรฐานสากล แต่วัวที่ตายและแท้งเกิดจากสุขภาพกับสภาพของวัวเอง วัวเจอร์ซี่ ไฮเฟอร์ที่ตาย 1 ตัว นั้น เกิดขาหักโดยไม่ทราบสาเหตุเพื่อไม่ให้ทนทุกข์ทรมานนายเรือจึงสั่งฆ่า กับให้การขนส่งมีข้อตกลงว่าไม่ต้องรับผิดในกรณีที่วัวตายหรือสุขภาพไม่ดีในระหว่างการขนส่งจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดค่าเสียหายสูงเกินความจริง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนรับจ้างจากจำเลยที่ 1 ทำพิธีการเรือเท่านั้นมิได้ร่วมขนส่งด้วย ความเสียหายที่เรียกร้องสูงเกินความจริง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 ทำการขนส่งวัวแล้วเสร็จในวันเดียวกันส่งเรียบร้อย ไม่มีตายหรือแท้งอันเนื่องมาจากการขนส่งสัญญาณขนส่งมีกำหนดความรับผิดว่าผู้ขนส่งจะรับผิดในกรณีวัวตายหรือบาดเจ็บอันเกิดจากการกระทำที่ไม่สมควรของผู้ขนส่งเท่าที่เสียหายจริงและไม่เกิน 100,000 บาท ต่อยานพาหนะ 1 คัน กรณีวัวบาดเจ็บป่วย อ่อนแอ มีสุขภาพไม่สมบูรณ์หรือผิดปกติ การประกันภัยของโจทก์ไม่ได้คุ้มครองในระหว่างที่จำเลยที่ 3 ขนส่ง คงคุ้มครองแต่เพียงถึงท่าเรือปลายทางเท่านั้น ค่าเสียหายไม่ถึง 40,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน130,943.65 บาท ให้จำเลยที่ 3 ชำระเงินจำนวน 73,541.52 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 27 มีนาคม 2534จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 คำขออื่นให้ยก
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 1 ข้อแรกมีว่า จะต้องนำเอาพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534มาปรับใช้แก่คดีนี้หรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเลพ.ศ. 2534 เพิ่งใช้บังคับเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2535 แต่การว่าจ้างขนส่งสินค้าพิพาททำสัญญากันตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน2533 ตามใบตราส่งเอกสารหมาย จ.12 ซึ่งเป็นเวลาก่อนวันที่พระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 มีผลใช้บังคับ ดังนั้นในการฟ้องเรียกค่าเสียหายเกี่ยวกับสินค้าพิพาทจึงต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 616 ที่บัญญัติว่า "ผู้ขนส่งจะต้องรับผิดในการที่ของอันเขาได้มอบหมายแก่ตนนั้นสูญหายหรือบุบสลายหรือส่งมอบชักช้า เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการสูญหายหรือบุบสลายหรือชักช้านั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือเกิดแต่สภาพแห่งของนั้นเอง หรือเกิดเพราะความผิดของผู้ส่งหรือผู้รับส่ง" ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น อันเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งมาปรับแก่คดีตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 จะนำเอาพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 มาปรับใช้แก่คดีนี้หาได้ไม่
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 1 ข้อต่อไปมีว่า โจทก์ในฐานะผู้รับช่วงสิทธิบริษัทดี เจ ฟาร์ม จำกัด มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1ต่อศาลในประเทศไทยหรือไม่ในปัญหาดังกล่าวจำเลยที่ 1 อ้างว่าผู้ส่งและผู้ขนส่งมีข้อตกลงกันว่าหากมีข้อพิพาทเกิดขึ้นจะต้องฟ้องคดีต่อศาลในเมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ตามที่ระบุไว้ในใบตราส่งเอกสารหมาย ล.1 พร้อมคำแปลข้อ 16 ว่า "ข้อโต้เถียงใด ๆที่ได้เกิดขึ้นจากใบตราส่งนี้จะถูกตัดสินโดยศาลทางการค้าทางทะเลของเมืองโคเปนเฮเกน และให้ใช้กฎหมายประเทศเดนมาร์กบังคับ"นั้น เห็นว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยสินค้าพิพาทจากบริษัทดี เจ ฟาร์ม จำกัด ผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นผู้สั่งซื้อสินค้าพิพาทตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.11 เมื่อสินค้าพิพาทได้รับความเสียหายในระหว่างการขนส่ง โจทก์มีหน้าที่ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 877 และผลแห่งการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเช่นนั้นทำให้โจทก์อยู่ในฐานะเป็นผู้รับช่วยสิทธิของผู้เอาประกันภัยที่จะฟ้องเรียกเอาค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ขนส่งสินค้าพิพาทได้ในนามของโจทก์เองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 880 วรรคหนึ่งและการรับช่วงสิทธิของโจทก์ดังกล่าวเกิดขึ้นโดยอำนาจแห่งกฎหมายตามมาตรา 880 วรรคหนึ่ง ดังกล่าวข้างต้นนั้น หาใช่เกิดจากข้อตกลงในสัญญาไม่ ดังนั้น ข้อตกลงระหว่างผู้เอาประกันภัยกับจำเลยที่ 1หรือผู้ส่งสินค้ากับจำเลยที่ 1 ที่ตกลงกันให้นำข้อพิพาทอันเกิดจากใบตราส่ง เอกสารหมาย จ.12 หรือ ล.1 ไปฟ้องต่อศาลของเมืองโคเปนเฮเกน และให้ใช้กฎหมายประเทศเดนมาร์กบังคับจึงไม่มีผลผูกพันโจทก์
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อสุดท้ายมีว่าจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อโจทก์เพียงใด จำเลยที่ 1 อ้างว่าตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534มาตรา 3 ประกอบมาตรา 58 ผู้ขนส่งต้องรับผิดในความเสียหายของสินค้าพิพาทเพียงหนึ่งบาทต่อหนึ่งหน่วยการขนส่ง กรณีนี้วัวตาย 4 ตัวและแท้งลูก 4 ตัว ถือว่าสินค้าเสียหายเพียง 4 หน่วยการขนส่งจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดเพียง 40,000 บาทนั้น เห็นว่ากรณีตามปัญหาดังกล่าวจำเลยที่ 1 มิได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ทุกข้อฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน