ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 2 มีส่วนร่วมแต่ไม่เจตนาฆ่า
++ เรื่อง ความผิดต่อชีวิต ++
++ ทดสอบทำงานในระบบ CW เพื่อค้นหาข้อมูลทาง online ++
++
++
++ พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ได้ใช้ไม้ท่อนเหลี่ยมขนาดยาวประมาณ 46 เซนติเมตร กว้างประมาณ 8 เซนติเมตร หนาประมาณ4.5 เซนติเมตร ตีทำร้ายร่างกายนายยศฟ้า แก้วสีสม ผู้ตาย ที่บริเวณศีรษะด้วยเจตนาฆ่า นายยศฟ้าผู้ตายได้รับบาดเจ็บจนกะโหลกศีรษะแตก สมองได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงถึงแก่ความตายสมเจตนาของจำเลยที่ 1
++ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาหรือไม่
++ ได้ความจากคำเบิกความของนายกิติพงษ์ รัตนพจน์ พยานโจทก์ตอบถามค้านทนายจำเลยว่า ก่อนที่ผู้ตายจะถูกทำร้ายถึงแก่ความตายนั้น จำเลยทั้งสองมาที่บ้านพยานผู้ตายก็มาและได้ชกต่อยกับจำเลยที่ 1 พยานช่วยห้ามแล้วต่างก็แยกย้ายกันกลับโดยผู้ตายกับเพื่อนกลับไปก่อน หลังจากนั้นประมาณ 5ถึง 10 นาที จำเลยทั้งสองก็ขับรถจักรยานยนต์ตามไป ต่อมาทราบว่ามีการฆ่ากันตาย นายสุทธิชัย เภาโพธิ์ เบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า ในวันเกิดเหตุขับรถจักรยานยนต์ไปเที่ยวกับผู้ตาย ในตอนกลับได้แวะเยี่ยมเพื่อนที่บ้านที่เกิดเหตุ มีจำเลยทั้งสองขับรถจักรยานยนต์ตามมาแล้วตะโกนเข้ามาว่าอย่าเพิ่งไปไหน หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองได้ขับรถกลับไปก่อน ต่อมาจำเลยทั้งสองได้ขับรถจักรยานยนต์มาอีกพร้อมด้วยไม้หน้าสาม ยาวประมาณ 1 ศอก หนาประมาณ 5 เซนติเมตร คนซ้อนท้ายคือจำเลยที่ 1เป็นคนถือไม้ดังกล่าวเข้ามาตีผู้ตาย และได้ความจากคำเบิกความของนายสุทธิชัยและนายถาวร เกตุสีพรม พยานโจทก์ ซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุตรงกันว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ตีทำร้ายร่างกายผู้ตายแล้ว จำเลยที่ 1 ได้นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์หลบหนีไปพร้อมกับจำเลยที่ 2
++ เห็นว่า พยานโจทก์ไม่เคยมีสาเหตุกับจำเลยที่ 2 มาก่อน จึงไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะกลั่นแกล้งเบิกความใส่ร้ายจำเลยที่ 2 เชื่อว่าเบิกความตามที่รู้เห็นจริง ดังปรากฏว่ารายละเอียดในข้อเท็จจริงส่วนใหญ่ที่ได้ความจากคำเบิกความของจำเลยที่ 2 ก็เจือสมกับข้อนำสืบของโจทก์ ทั้งในเรื่องการชกต่อยของจำเลยที่ 1กับผู้ตายก็สอดคล้องตรงกับคำเบิกความของนายกิติพงษ์ดังกล่าวข้างต้นแม้กระทั่งการไปมาของจำเลยทั้งสองในวันเกิดเหตุก็ตรงกัน ว่าจำเลยที่ 2ร่วมไปกับจำเลยที่ 1 โดยตลอด จึงรับรู้รับทราบเหตุการณ์ที่จำเลยที่ 1ได้กระทำลงไปโดยใกล้ชิด พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 ถูกผู้ตายชกต่อยเป็นเหตุการณ์ที่เกิดต่อหน้าจำเลยที่ 2
++ ฉะนั้น การที่จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์ไปกับจำเลยที่ 1 โดยปรากฏว่าเมื่อตามไปพบผู้ตายอยู่ที่บ้านเกิดเหตุแล้วตะโกนบอกว่าอย่าเพิ่งไปไหน หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองมาด้วยกันมีไม้เป็นอาวุธสำหรับใช้ทำร้ายผู้ตายติดตัวมาด้วย แสดงว่าจำเลยที่ 2 ได้รู้และมีเจตนาร่วมกันกับจำเลยที่ 1 ที่จะทำร้ายผู้ตาย เท่านั้น
++ ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 2 สมคบคิดกับจำเลยที่ 1 ถึงกับจะมาฆ่าผู้ตาย และจำเลยที่ 2 ไม่อาจคาดคิดหรือเล็งเห็นผลว่า จำเลยที่ 1จะตีผู้ตายอย่างรุนแรงจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
++ พฤติการณ์เช่นนี้ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่าผู้ตายด้วย
++ เมื่อผลการทำร้ายเป็นเหตุทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายจำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 290 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 ++
++ พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 83 ลงโทษจำคุก 9 ปี คำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษามาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ++