โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 4, 5, 28, 31, 69, 70, 75, 76 พระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ.2530 มาตรา 4, 6, 34 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91 และสั่งให้แผ่นซีดีและวีซีดีที่ละเมิดลิขสิทธิ์ของกลางรวมทั้งสิ้น 96 แผ่น ตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์ สั่งจ่ายเงินค่าปรับกึ่งหนึ่งให้แก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ กับริบของกลางอื่น
จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 31 (1), 70 วรรคสอง พระราชบัญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ.2530 มาตรา 6 วรรคหนึ่ง, 34 (ที่ถูก ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ด้วย) การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นเพื่อการค้า ปรับคนละ 60,000 บาท ฐานร่วมกันประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือวัสดุโทรทัศน์โดยไม่ได้รับอนุญาต ปรับคนละ 2,000 บาท รวมปรับคนละ 62,000 บาท จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับคนละ 31,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้ซีดีและวีซีดีของกลางที่ละเมิดลิขสิทธิ์ จำนวน 96 แผ่น ตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์ และให้จ่ายเงินค่าปรับที่ชำระตามคำพิพากษาฐานละเมิดลิขสิทธิ์เป็นจำนวนกึ่งหนึ่งให้แก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ขอให้ลงโทษปรับสถานเบาในความผิดทั้งสองฐานนั้น เห็นว่า สำหรับความผิดฐานร่วมกันประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายเทปหรือวัสดุโทรทัศน์โดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ.2530 มาตรา 6 วรรคหนึ่ง, 34 มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาปรับจำเลยทั้งสามคนละไม่เกิน 5,000 บาท การที่จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ขอให้ลดโทษปรับเป็นการโต้แย้งดุลพินิจการกำหนดโทษของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 39 (4) จึงไม่รับวินิจฉัย ส่วนในความผิดฐานร่วมกันละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายโดยการนำแผ่นวีซีดีเพลงคาราโอเกะ แผ่นซีดีเพลงเอ็มพีสาม และแผ่นวีซีดีภาพยนตร์ซึ่งมีผู้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายออกขาย เสนอขาย และมีไว้เพื่อขายแก่บุคคลทั่วไปเพื่อแสวงหากำไรในทางการค้านั้น เห็นว่า แผ่นซีดีและวีซีดีของกลางที่ละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายมีจำนวนไม่มาก ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางลงโทษปรับจำเลยทั้งสามในความผิดฐานนี้คนละ 60,000 บาท ก่อนลดโทษนั้นหนักเกินไปไม่เหมาะสมแก่สภาพความผิด จึงสมควรลดโทษปรับเป็นอัตราขั้นต่ำสุดที่พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 70 วรรคสอง บัญญัติ คือปรับคนละ 50,000 บาท อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามในข้อนี้ฟังขึ้น
อนึ่ง คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันละเมิดลิขสิทธิ์ในงานสร้างสรรค์ตามฟ้องของผู้เสียหาย โดยการนำแผ่นวีซีดีเพลงคาราโอเกะ แผ่นซีดีเพลงเอ็มพีสาม และแผ่นวีซีดีซีดีภาพยนตร์ซึ่งมีผู้ทำซ้ำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายออกขาย เสนอขาย และมีไว้เพื่อขายแก่บุคคลทั่วไป อันเป็นการกระทำเพื่อการค้า โดยจำเลยทั้งสามรู้อยู่แล้วว่าเป็นงานที่ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์และไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เสียหาย และจำเลยทั้งสามร่วมกันประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ โดยร่วมกันทำเป็นธุรกิจและได้รับประโยชน์ตอบแทน โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนและไม่ใช่กรณีที่ได้รับยกเว้นตามกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามกฎหมาย กับขอให้ริบของกลางซึ่งเป็นทรัพย์ที่จำเลยทั้งสามร่วมกันมีไว้เพื่อใช้และได้ใช้ในการกระทำความผิดตามฟ้อง คือ แผงเหล็กตั้งสินค้า 1 แผง สมุดบันทึกรายรับรายจ่าย 1 เล่ม ตะกร้าวางแผ่นซีดี 4 อัน กล่องพลาสติก 1 กล่อง ถุงพลาสติก 1 แพ็ก ซองพลาสติกสำหรับใส่แผ่นซีดี 22 ซอง ผ้าปูโต๊ะ 2 ผืน และแผ่นซีดีก๊อปปี้ 350 แผ่น และทรัพย์ที่จำเลยทั้งสามได้มาโดยได้ร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้อง คือเงินสด 1,750 บาท แต่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมิได้มีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับของกลางเหล่านี้ คำพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจึงไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186 (9) แม้คู่ความมิได้อุทธรณ์ในปัญหานี้ แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขได้เองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 45 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ปัญหาว่าจะริบของกลางตามฟ้องที่โจทก์ขอมาได้หรือไม่ เห็นว่า แม้จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพตามฟ้อง แต่การริบของกลางตามฟ้องได้นั้น จะต้องได้ความชัดแจ้งตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ว่าจำเลยทั้งสามได้ใช้หรือมีของกลางนั้นไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 75 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) เมื่อการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสามคือการร่วมกันนำแผ่นวีซีดีคาราโอเกะ แผ่นซีดีเพลงเอ็มพีสาม และแผ่นวีซีดีภาพยนตร์ที่มีผู้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธ์ของผู้เสียหายออกขาย เสนอขาย และมีไว้เพื่อขายแก่บุคคลทั่วไปเพื่อการค้าซึ่งโดยสภาพของการกระทำความผิดฐานนี้ แม้จำเลยทั้งสามไม่มีหรือไม่ใช้แผงเหล็กตั้งสินค้าสมุดบันทึกรายรับรายจ่าย ตะกร้า กล่องพลาสติก ถุงพลาสติก ซองพลาสติก และผ้าปูโต๊ะของกลางในการกระทำความผิด จำเลยทั้งสามก็สามารถกระทำความผิดนี้สำเร็จได้ของกลางเหล่านี้จึงไม่เป็นปัจจัยหลักหรือส่วนสำคัญในการกระทำความผิดดังกล่าวทั้งสิ่งของเหล่านี้ก็มักจะเป็นสิ่งที่มีอยู่ตามปกติในร้านค้าที่ขาย เสนอขาย หรือมีไว้เพื่อขายซึ่งสินค้าไม่ว่าเป็นสินค้าประเภทใด ข้อเท็จจริงตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์จึงยังไม่ชัดแจ้งพอฟังได้ว่า ของกลางดังกล่าวเป็นวัตถุหรือเครื่องมือเครื่องใช้ที่เป็นหลักหรือมีส่วนสำคัญในการกระทำละเมิดต่องานอันมีลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายโดยตรง จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ใช้ในการกระทำความผิดที่ต้องริบเสียทั้งสิ้น ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 75 ส่วนแผ่นซีดีก๊อปปี้ 350 แผ่น ไม่ปรากฏว่าแผ่นซีดีก๊อปปี้ดังกล่าวมีงานสร้างสรรค์อันเป็นลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายรวมอยู่ด้วยจึงไม่ใช่ทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสามฐานร่วมกันละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นเพื่อการค้าที่โจทก์ฟ้อง ดังนั้นแผ่นซีดีก๊อปปี้ดังกล่าวจึงไม่ใช่สิ่งที่ใช้ในการกระทำความผิดที่ต้องริบเสียทั้งสิ้น ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 75 และแผ่นซีดีก๊อปปี้ดังกล่าวมิใช่ทรัพย์สินที่จำเลยทั้งสามได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดฐานประกอบกิจการให้เช่า และเปลี่ยน หรือจำหน่ายเทปหรือวัสดุโทรทัศน์โดยไม่ได้รับอนุญาตที่ศาลมีอำนาจริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1)
สิ่งบันทึกเสียงและสิ่งบันทึกภาพและเสียงที่เจ้าพนักงานยึดไว้เป็นของกลางในคดีนี้มีทั้งสิ่งบันทึกเสียงและสิ่งบันทึกภาพและเสียงที่ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายกับที่ไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายรวมอยู่ด้วย และไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสามได้เงินสดจำนวน 1,750 บาท ของกลางมาโดยการขายเพลง งานที่ละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายในคดีนี้โดยมีการวางแผนล่อซื้อแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์จึงไม่ชัดเจนว่าจำเลยทั้งสามได้เงินจำนวนดังกล่าวมาจากการร่วมกันขาย งานที่ละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายและเจ้าพนักงานได้ยึดไว้เป็นของกลางในคดีนี้ หรือเป็นเงินที่จำเลยทั้งสามได้มาจากการขายงานอันละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายหรือของผู้อื่นก่อนหน้านี้ ทั้งความผิดฐานประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายเทปหรือวัสดุโทรทัศน์โดยไม่ได้รับอนุญาต ความผิดอยู่ที่จำเลยทั้งสามไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน เทปหรือวัสดุโทรทัศน์ที่จำเลยทั้งสามร่วมกันมีไว้เพื่อประกอบกิจการดังกล่าวมิใช่ทรัพย์สินที่ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดฐานนี้ ดังนั้นแม้เงินที่จำเลยทั้งสามได้รับมาเป็นค่าตอบแทนการให้เช่า แลกเปลี่ยนหรือจำหน่ายเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ตามฟ้องก็ไม่ใช่ทรัพย์สินที่จำเลยทั้งสามได้มาโดยการกระทำความผิดฐานนี้ จึงไม่อาจริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (2) เช่นกัน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับจำเลยทั้งสามในความผิดฐานร่วมกันละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายโดยการนำงานที่ได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายออกขาย เสนอขาย และไว้เพื่อหากำไรในทางการค้าเป็นเงินคนละ 50,000 บาท ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงปรับคนละ 25,000 บาท เมื่อรวมกับโทษปรับในความผิดฐานร่วมกันประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายเทปหรือวัสดุโทรทัศน์โดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว คงปรับคนละ 26,000 บาท ให้ยกคำขอริบของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง.