คดี ๒ สำนวน  ศาลพิจารณาพิพากษารวมกันโดยโจทก์ฟ้องนายปรารภจำเลยในสำนวนแรก  และนายปรารภกับนายสัมฤทธิ์ในสำนวนหลังกล่าวหาว่าจำเลยได้วางแผนฉ้อโกงและประชาชนโดยวางโครงการออกโฆษณาหลอกลวงผู้มีชื่อตามฟ้อง  และราษฎรอีกหลายคนชักชวนให้เสียค่าสมัครเป็นสมาชิกกลุ่มการเกษตรกึ่งอุตสาหกรรม  ซึ่งจำเลยจะขออนุญาตทางการจัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินการจัดสรรที่ดินแก่ราษฎรให้เป็นที่ทำกิน  เป็นเหตุให้ราษฎรพากันหลงเชื่อและมอบเงินค่าสมัครแก่จำเลย  ซึ่งความจริงที่ดินที่อ้างว่าจะจัดสรรเป็นป่าสงวน  ทั้งมิได้มีการขอจัดตั้งตามโครงการที่โฆษณาไว้อันเป็นข้อความเท็จ  ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๓๔๓, ๘๓  ให้จำเลยคืนหรือให้ราคาทรัพย์แก่เจ้าทรัพย์  ริบของกลางและนับโทษนายปรารภจำเลยต่อจากคดีดำที่ ๖๓๘/๒๕๑๐
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นฟังว่า  นายปรารภจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง  ส่วนนายสัมฤทธิ์ฟังไม่ได้ว่าร่วมกับนายปรารภจำเลย  พิพากษาว่านายปรารภจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๓๔๓ ให้จำคุก ๓ ปี  คำรับจำเลยมีประโยชน์แก่การพิจารณา  ลดโทษให้ ๑ ใน ๓  คงจำคุกไว้ ๒ ปี  ยกคำขอให้นับโทษต่อเพราะคดีดังกล่าวศาลให้รอการลงโทษไว้  ริบของกลาง  ส่วนนายสัมฤทธิ์จำเลยให้ยกฟ้อง
นายปรารภจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา  ศาลชั้นต้นสั่งรับแต่เฉพาะฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยในข้อที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องเคลือบคลุม  โดยบรรยายฟ้องไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๓๔๓  เพราะมิได้กล่าวหาว่าหลอกลวงต่อประชาชนทั่วไป  ว่าการที่โจทก์บรรยายฟ้องระบุว่าจำเลยทำการหลอกลวงผู้มีชื่อตามฟ้องและราษฎรผู้มีชื่ออีกหลายคน  ถือได้ว่าเป็นการฟ้องกล่าวหาครบองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๓๔๓ แล้ว  และเมื่อความผิดตามมาตรา ๓๔๓  มิใช่ความผิดต่อส่วนตัว  พนักงานสอบสวนย่อมทำการสอบสวนได้  โดยไม่จำต้องมีคำร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๒๑  ส่วนฎีกาในข้อที่ว่าโจทก์ไม่มีผู้เสียหายมาสืบ  คงมีแต่พยานอื่นซึ่งเป็นพยานออกความเห็นรับฟังไม่ได้นั้น  เท่ากับฎีกาในเรื่องดุลพินิจของศาลในการชั่งน้ำหนักพยาน  จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง  ซึ่งเมื่อต้องห้ามฎีกา  ก็ไม่จำต้องวินิจฉัย  ส่วนในฎีกาข้อที่ว่าการกระทำของจำเลยเป็นเรื่องเหตุการณ์ในอนาคตข้างหน้า  จึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงนั้นเห็นว่า  การกระทำของจำเลยได้มีขึ้นแล้วตามโครงการโฆษณาที่จำเลยทำขึ้นแสดงต่อประชาชนอันเป็นข้อความเท็จซึ่งเชื่อมโยงกับที่จำเลยจะดำเนินการต่อไป  กรณีถือว่าเป็นการหลอกลวง  เข้าลักษณะความผิดฐานฉ้อโกงแล้ว ฎีกาจำเลยทั้งหมดฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน