โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยเป็นผู้ช่วยป่าไม้จังหวัด  ได้ไปตีตราแทนป่าไม้จังหวัดตามหน้าที่เพื่อคำนวณค่าภาคหลวงให้แก่ผู้รับอนุญาตทำไม้หวงห้าม  และในการตีตราจำเลยจะต้องตีตรา ณ ที่ตอไม้ที่เจ้าพนักงานตีตราอนุญาตให้ตัด  และไม้ที่จะเสียค่าภาคหลวงจะต้องมีตราคัดเลือกตรงกับที่ตอไม้นั้น  จำเลยมิได้ปฏิบัติตามระเบียบดังกล่าว  โดยจำเลยได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ  ได้บังอาจใช้ตราประจำตัวของจำเลยตีตราไม้ซึ่งมีผู้ลักลอบตัดฟันจากที่อื่นแล้ว  นำมารวมหมอนกองไว้ปะปนกับไม้ที่ได้รับอนุญาตรวม ๗ ท่อน  ซึ่งไม้ ๗ ท่อนนี้ไม่มีดวงตราคัดเลือกประจำต้น  แต่จำเลยก็ยังใช้ดวงตราประจำตัวของจำเลยประทับให้  เพื่อประโยชน์ของผู้ลักลอบตัดฟันไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต  อันเป็นการกระทำมิชอบด้วยหน้าที่  ทั้งนี้  ทำให้รัฐบาลและประชาชนเสียหาย  ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗, ๑๖๐  และริบไม้ของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า  จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๖๐  ให้จำคุก ๓ ปี  คำให้การจำเลยชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา  ลดโทษให้ ๑ ใน ๓  ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๗๘  คงจำคุก ๒ ปี  ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา  โดยศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า  โจทก์มีพยานหลักฐานฟังได้ว่า  ไม้ของกลางทั้ง ๗  ท่อนในคดีนี้มีตราค่าภาคหลวงหรือตรา ภ.ล. ประทับไว้  และมีตรา ต.๖๒๔  อันเป็นตราประจำตัวของจำเลยประทับด้วย  จำเลยรับว่าจำเลยเป็นผู้ประทับตราไม้ ๗ ท่อนนี้จริง  ไม้ทั้ง ๗ ท่อนนี้โจทก์นำสืบได้ว่าเป็นไม้ที่ตัดจากไม้ที่อยู่ในป่าแปลงที่ ๒  ซึ่งยังมิได้อนุญาตให้ผู้ใดตัด  เพราะได้ตัดตอไม้ทั้ง ๗ ตอที่อยู่ในป่าแปลงที่ ๒ มาเทียบกับไม้ทั้ง ๗ ท่อนของกลางแล้ว  เข้ากันได้พอดี  ทั้งที่ตอไม้นั้นก็ไม่มีตราประทับไว้  อันเป็นการฝ่าฝืนต่อระเบียบกรมป่าไม้ว่าด้วยการตรวจวัด  การประทับตราและการเรียกเก็บเงินค่าภาคหลวงไม้  ไม้ฟืนหรือไม้เผาถ่าน  พ.ศ. ๒๕๑๐  การที่จำเลยประทับตราประจำตัวของจำเลยที่ไม้ของกลางทั้ง ๗ ท่อน  และประทับตราค่าภาคหลวงอันเป็นตราของทางราชการซึ่งจำเลยมีหน้าที่รักษาและใช้ตามอำนาจหน้าที่ของจำเลย  โดยไม้ของกลางทั้ง ๗ ท่อนนี้เป็นไม้ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ตัดและเป็นการประทับตราที่ฝ่าฝืนต่อระเบียบของกรมป่าไม้ดัางกล่าวแล้ว  กล่าวคือ  จำเลยมิได้ประทับตราประจำตัวพร้อมเลขเรียงลำดับท่อนภาคหลวงของไม้ท่อนที่ตัดทอนจากตอนั้น  และเลขปี พ.ศ. ที่ประทับตราไว้ที่หน้าตัดของตอไม้ทุกตอ  การกระทำของจำเลยเช่นนี้  ย่อมทำให้กรมชลประทานและกรมป่าไม้เสียหาย  จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๖๐  ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยมิได้เจตนา  แต่ได้กระทำการโดยสุจริต  แม้จะปฏิบัติผิดเงื่อนไขหรือผิดระเบียบก็ไม่เป็นความผิดก็ดี  หรือจำเลยกระทำไปโดยสำคัญผิดในข้อเท็จจริงจึงจะถือว่ามีเจตามิได้ก็ดี  ศาลฎีกาเห็นว่า  ระเบียบดังกล่าวนั้นวางไว้เพื่อป้องกันการลักลอบตัดไม้อื่นแล้วนำมาสวมรอยอ้างว่าเป็นไม้ที่เจ้าพนักงานได้ตรวจคัดเลือกอนุญาตให้ตัด  การที่จำเลยตีตราไม้โดยฝ่าฝืนระเบียบดังกล่าว  เป็นการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่  จำเลยย่อมเล็งเห็นผลเสียหายของการกระทำนั้นได้  และก็ได้เกิดความเสียหายขึ้นจริงดังกล่าวแล้ว  จำเลยจะอ้างว่ากระทำไปโดยสุจริตหรือกระทำไปด้วยความสำคัญผิดหาได้ไม่  ต้องถือว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิด  ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ลงโทษจำเลย  ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน