คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 มาตรา 4, 5, 12 พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์พ.ศ. 2522 มาตรา 11, 71, 73 รวม 3,016 กระทงแต่รวมโทษจำคุกแล้วคงให้จำคุกจำเลยคนละ 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงินจำนวน 706,681,800 บาทแก่ผู้เสียหาย ให้นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3821/2529 ของศาลชั้นต้น โจทก์อุทธรณ์เฉพาะคดีส่วนแพ่งศาลชั้นต้นจึงออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดให้แก่จำเลยทั้งสองโดยโทษจำคุกของจำเลยของจำเลยที่ 1 ให้เริ่มนับแต่วันที่ 8เมษายน 2528 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยที่ 1 ถูกจับกุมและถูกคุมขังตลอดมา
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่า นอกจากคดีนี้แล้วจำเลยที่ 1ยังถูกศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกฐานฉ้อโกงมีกำหนด 4 ปี ปรากฏตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 412/2529 ของศาลชั้นต้น ในคดีดังกล่าวจำเลยที่ 1ถูกขังระหว่างพิจารณาตั้งแต่ วันที่ 18 ตุลาคม 2528 ตลอดมา ขอให้ศาลชั้นต้นนำวันต้องขังระหว่างพิจารณาและโทษจำคุกในคดีดังกล่าวมาคิดหักจากโทษจำคุกคดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อศาลชั้นต้นมิได้นับโทษจำคุกในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 412/2529 ดังกล่าว จำเลยที่ 1จึงต้องรับโทษจำคุกมีกำหนด 4 ปี ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 412/2529นับแต่วันที่ 18 ตุลาคม 2528 ตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดในคดีดังกล่าว ส่วนคดีนี้ จำเลยที่ 1 ต้องรับโทษจำคุกมีกำหนด 20 ปีนับแต่วันที่ 8 เมษายน 2528 ตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด โทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีดังกล่าวซึ่งมีกำหนดเวลาเพียง 4 ปี กับโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ซึ่งมีกำหนดเวลา 20 ปี จึงซ้อนกัน โทษจำคุก4 ปีในคดีดังกล่าวจึงเกลื่อนกลืนกันไปกับโทษจำคุก 20 ปีในคดีนี้กรณีจึงหาใช่จำเลยที่ 1 จะต้องรับโทษจำคุกเกินกว่า 20 ปี ดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกาไม่
พิพากษายืน.