โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลย ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 มาตรา 26, 84 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91, 137, 267 และสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยมีกำหนด10 ปี ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137, 267 กรรมหนึ่ง ลงโทษตาม มาตรา 267 บทหนัก จำคุก2 ปี ปรับ 4,000 บาท มีความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มาตรา 26, 84 อีกกรรมหนึ่งจำคุก 1 ปี รวมจำคุก3 ปี ปรับ 4,000 บาท รอการลงโทษจำคุกไว้ 2 ปี เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยมีกำหนด 10 ปี โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษโดยไม่รอการลงโทษและไม่ปรับจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ฎีกาของจำเลยข้อแรกที่ว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดมิใช่ผู้เสียหายในความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 มาตรา 26, 84 จึงไม่มีอำนาจร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีพนักงานอัยการจึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อความผิดที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ มิใช่เป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว เมื่อปรากฏว่าพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนแล้วพนักงานอัยการย่อมมีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องคดีนี้ต่อศาลได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120 ผู้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีนี้จะเป็นผู้ใดหามีความสำคัญไม่ ฉะนั้นที่จำเลยฎีกาโต้เถียงว่าพนักงานอัยการโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จึงฟังไม่ขึ้น"
และศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยมิได้จบการศึกษาชั้นประโยคมัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียน ชุณหวัน วิทยานุสรณ์แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า "การที่จำเลยกรอกใบสมัครว่าจำเลยจบการศึกษาประโยคชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย อันเป็นการแจ้งข้อความเท็จแก่เจ้าพนักงานผู้รับสมัคร จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137 กับแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 267 อีกบทหนึ่งอันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายต่อไปว่า จำเลยเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายมัธยมปีที่ 6 จากโรงเรียนสุรินทร์ราษฎร์บำรุงเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2503 จำเลยจึงมีคุณสมบัติครบถ้วนในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การที่จำเลยสมัครรับเลือกตั้งดังกล่าว จึงไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 มาตรา 26, 84 ตามที่โจทก์ฟ้องพิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงได้ความตามที่ศาลล่างทั้งสองฟังมาโดยโจทก์มิได้โต้แย้งว่า จำเลยสอบไล่ได้ตามหลักสูตรประโยคมัธยมวิสามัญศึกษาตอนปลายมัธยมปีที่ 6 จากโรงเรียนสุรินทร์ราษฎร์บำรุงเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2503 คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยว่า การเรียนจบชั้นมัธยมปีที่ 6 ในปี พ.ศ. 2503 ซึ่งเป็นปีที่จำเลยสอบไล่ได้เป็นการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการหรือตามแผนการศึกษาของชาติในความหมายของพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 มาตรา 19(1) หรือไม่ เห็นว่าพระราชบัญญัติ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522มาตรา 19(1) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2523 มาตรา 6 บัญญัติว่า"บุคคลผู้มีสัญชาติไทยซึ่งเป็นบิดาเป็นคนต่างด้าว จะเป็นผู้สมัครได้ต้องมีคุณสมบัติตามมาตรา 18 และมีคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ด้วย
(1) เป็นผู้ได้เข้าเรียนอยู่ในโรงเรียนตามกำหนดเวลา และสอบไล่ได้ไม่ต่ำกว่าระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการหรือตามแผนการศึกษาของชาติ หรือได้เข้าเรียนอยู่ในโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาอื่นในประเทศตามกำหนดเวลามาโดยตลอดจนมีความรู้ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเทียบเท่าหรือรับรองว่าเทียบได้ไม่ต่ำกว่าระดับมัธยมศึกษาตอนปลายตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการหรือแผนการศึกษาของชาติ" คำว่า มัธยมศึกษาตอนปลายตามมาตรา 19(1) นี้ จึงมีความหมาย 2 ประการ คือ มัธยมศึกษาตอนปลายตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการประการหนึ่ง หรือมัธยมศึกษาตอนปลายตามแผนการศึกษาของชาติอีกประการหนึ่ง แต่มาตรา 19(1) นี้มิได้ระบุว่า หลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการหรือแผนการศึกษาของชาติจะต้องเป็นหลักสูตรหรือแผนการศึกษาของชาติในปี พ.ศ. ใดโดยเฉพาะเมื่อได้พิจารณาถึงถ้อยคำในบทบัญญัติมาตรา 19(1) เดิม ก่อนที่จะมีการแก้ไขใช้ถ้อยคำว่า "เป็นผู้ได้เข้าอยู่ในโรงเรียนตามกำหนดเวลาและสอบไล่ได้ไม่ต่ำกว่าชั้นมัธยมปีที่ 8 หรือชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หรือมัธยมศึกษาตอนปลายตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการหรือตามแผนการศึกษาของชาติ พ.ศ. 2520 แล้วแต่กรณี ฯลฯ" บทบัญญัติของมาตรา 19(1) ที่แก้ไขใหม่นี้ได้ตัดข้อความว่า "ชั้นมัธยมปีที่ 8หรือชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5" และ "พ.ศ. 2520" ท้ายข้อความว่า"ตามแผนการศึกษาของชาติ" ออก แสดงให้เห็นเจตนารมณ์ของบทมาตรา 19(1)ซึ่งได้แก้ไขให้แตกต่างไปจากบทบัญญัติเดิมว่า ไม่ประสงค์จะให้ผู้สมัครจะต้องสอบไล่ได้ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 8 หรือชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หรือในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายตามแผนการศึกษาของชาติพ.ศ. 2520 แต่ประการใด ดังนั้นคำว่าหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการหรือแผนการศึกษาของชาติตาม มาตรา 19(1) ที่ได้แก้ไขแล้ว จึงหมายถึงหลักสูตรหรือแผนการศึกษาของชาติในขณะที่บุคคลนั้น ๆ สอบไล่ในชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายได้ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยสอบไล่ได้ชั้นมัธยมปีที่ 6 ในปี พ.ศ. 2503 ซึ่งขณะนั้นแผนการศึกษาของชาติที่ใช้บังคับอยู่คือ แผนการศึกษาชาติ พ.ศ. 2494 ซึ่งแบ่งการศึกษาออกเป็นขั้น ๆ คือ
ก. การศึกษาชั้นอนุบาล
ข. ประถมศึกษา
ค. มัธยมศึกษา
ง. เตรียมอุดมศึกษาและอาชีวศึกษาชั้นสูง
จ. อุดมศึกษาและมหาวิทยาลัย
สำหรับชั้นมัธยมศึกษาแยกออกเป็น 3 สายคือ
ก. มัธยมสามัญศึกษา ...ฯลฯ...
ข. มัธยมวิสามัญศึกษา ได้แก่การศึกษาวิชาซึ่งเป็นพื้นความรู้สำหรับไปศึกษาต่อในชั้นเตรียมอุดมศึกษา หรืออาชีวศึกษาจัดสอนตั้งแต่ชั้นมัธยมวิสามัญตอนต้น ปีที่ 1 ถึงปีที่ 3 และชั้นมัธยมวิสามัญตอนปลายปีที่ 4 ถึงปีที่ 6
ค. มัธยมอาชีวศึกษา....ฯลฯ....
ดังนี้ มัธยมศึกษาตามแผนการศึกษาชาติ พ.ศ. 2494 ในสาย ข.มัธยมวิสามัญศึกษา จึงมีชั้นมัธยมวิสามัญตอนปลายเพียงแค่มัธยมปีที่ 6 เท่านั้น เมื่อจำเลยสอบไล่ชั้นมัธยมปีที่ 6 ในปี พ.ศ. 2503จึงถือว่าจำเลยสอบไล่ได้ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายตามแผนการศึกษาของชาติ พ.ศ. 2494 แล้ว จำเลยจึงเป็นผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 19(1) แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 การที่จำเลยสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แม้จะกรอกคุณสมบัติทางการศึกษาลงในใบสมัครไม่ตรงต่อความจริงก็ไม่เป็นความผิดตามบทมาตราที่โจทก์ฟ้อง ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังขึ้น เมื่อได้วินิจฉัยมาแล้วว่า จำเลยไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522มาตรา 26 จึงไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยว่าความผิดดังกล่าวจะเป็นกรรมเดียวกับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137 และมาตรา 267 หรือไม่
ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น เห็นว่าจำเลยเคยได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุรินทร์เมื่อปีพ.ศ. 2526 ได้ทำงานเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม จนได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นตริตาภรณ์ช้างเผือก การที่จำเลยกระทำผิดคดีนี้ โดยแจ้งคุณสมบัติทางการศึกษาเป็นเท็จ เชื่อว่าเป็นเพราะจำเลยเข้าใจผิดว่า ตนไม่มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งความจริงแล้วจำเลยมีคุณสมบัติครบถ้วนตามกฎหมาย ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เมื่อคำนึงถึงสภาพความผิดและพฤติการณ์สิ่งแวดล้อมแล้ว เห็นสมควรให้โอกาสจำเลยได้กลับตัวประพฤติตนเป็นพลเมืองดีต่อไปโดยให้รอการลงโทษไว้"
พิพากษาแก้เป็นว่า โทษจำคุกของจำเลยสำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267 ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปีให้ยกฟ้องในความผิด ตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 และไม่เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยนอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์