คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลบังคับคดีแทนศาลแพ่งกรุงเทพใต้มีคำสั่งอนุญาตให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 9088 ของจำเลยที่ 2 ซึ่งติดจำนองอยู่กับผู้คัดค้านโดยติดจำนองไปด้วยเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาแก่โจทก์ เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2558 ผู้ร้องเข้าประมูลซื้อที่ดินดังกล่าวได้ในราคา 510,000 บาท โดยวางเงินมัดจำไว้ 10,000 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2558 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินอ้างว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาดแจ้งตำแหน่งที่ดินผิดและไม่แจ้งว่าที่ดินอยู่ในเขตเวนคืนเพื่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข 6 เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2558 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ให้ริบเงินมัดจำ เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2559 ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำคัดค้านและไต่สวนคำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดจนเสร็จในวันเดียวกัน แล้วนัดฟังคำสั่งในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2559 แต่วันที่ 10 พฤศจิกายน 2559 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอถอนคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด คงไว้เฉพาะคำร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ให้ริบเงินมัดจำ ศาลชั้นต้นให้รอไว้สั่งในวันนัด ถึงวันนัดฟังคำสั่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ผู้ร้องถอนคำร้องและมีคำสั่งวินิจฉัยคดีให้ยกคำร้องทั้ง 2 ฉบับ ของผู้ร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำพิพากษาแก้เป็นว่าให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ให้ริบเงินมัดจำแล้วให้ขายทอดตลาดใหม่ โดยให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งให้ผู้ซื้อทรัพย์นำเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือทั้งหมดมาชำระตามระเบียบของกรมบังคับคดีและดำเนินการต่อไป โดยศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้โจทก์ จำเลยทั้งสองและผู้ร้องฟังเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2560 อ่านให้ผู้คัดค้านฟังวันที่ 25 มกราคม 2561 จากนั้นในระหว่างเวลาที่ผู้คัดค้านขอขยายระยะเวลายื่นฎีกา เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2561 เจ้าพนักงานบังคับคดีทำหนังสือรายงานศาลชั้นต้นว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 แล้ว โดยเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2561 เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหมายแจ้งให้ผู้ร้องมาชำระราคาส่วนที่เหลือ 500,000 บาท ภายใน 15 วัน นับแต่ได้รับหมาย มิฉะนั้นจะริบเงินมัดจำที่วางไว้ 10,000 บาท และนำทรัพย์ออกขายทอดตลาดใหม่ ฯลฯ โดยส่งให้ผู้ร้องเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2561 มีนายนิคม น้องของผู้ร้องซึ่งอยู่ที่เดียวกันเป็นผู้รับไว้แทน เมื่อครบกำหนดผู้ร้องไม่ชำระราคาส่วนที่เหลือ เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงมีคำสั่งริบเงินมัดจำและให้นำทรัพย์ออกขายทอดตลาดใหม่ วันที่ 17 เมษายน 2561 ผู้คัดค้านยื่นฎีกาตามที่ได้รับอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นฎีกา แต่ในวันที่ 5 มิถุนายน 2561 ผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอถอนฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความศาลฎีกาเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2561 โดยศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งศาลฎีกาให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2561
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีและสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งให้ผู้ร้องนำเงินมาชำระราคาส่วนที่เหลือตามระเบียบของกรมบังคับคดีและโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์ที่ซื้อแก่ผู้ร้องต่อไป
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำสั่งและการดำเนินการของเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 จึงชอบแล้ว ส่วนระเบียบของกรมบังคับคดีที่ผู้ร้องอ้างมาเป็นดุลพินิจของผู้อำนวยการสำนักงานบังคับคดีหาได้เป็นบทบังคับให้ต้องรอผลคำพิพากษาถึงที่สุดก่อนแต่อย่างใดไม่ กรณีไม่มีเหตุต้องไต่สวน ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับว่า ให้เพิกถอนคำสั่งริบเงินมัดจำของเจ้าพนักงานบังคับคดี ให้ผู้ร้องนำเงินไปชำระราคาส่วนที่เหลือต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฉบับนี้ถึงที่สุด มิฉะนั้นถือว่าผู้ร้องผิดสัญญาให้ริบเงินมัดจำและนำที่ดินขายทอดตลาดใหม่ต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เดิมระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ผู้คัดค้านโดยนายปรีชา ผู้รับมอบอำนาจยื่นคำร้องขอถอนฎีกา ผู้ร้องซึ่งแก้ฎีกาได้รับสำเนาคำร้องขอถอนฎีกาแล้วไม่ยื่นคำคัดค้าน แต่ก่อนศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งศาลฎีกาให้คู่ความฟัง ผู้คัดค้านและทนายผู้คัดค้านมาศาลแถลงว่า ผู้คัดค้านประสงค์ฎีกาเช่นเดิม ศาลชั้นต้นจึงงดการอ่านคำสั่งศาลฎีกา และให้รวบรวมถ้อยคำสำนวนส่งคืนศาลฎีกา ดังปรากฏในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 ซึ่งอนุมานได้ว่าผู้คัดค้านแถลงขอถอนคำร้องขอถอนฎีกา ที่ผู้ร้องยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 20 พฤษภาคม 2564 ขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบโดยอ้างว่า เมื่อปรากฏว่าผู้คัดค้านได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้นายปรีชา มีอำนาจยื่นคำร้องขอถอนฎีกามาแต่ต้น การที่ศาลฎีกามีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 ให้ศาลชั้นต้นเรียกผู้คัดค้านและทนายผู้คัดค้านมาสอบถามและแก้ไขเรื่องการมอบอำนาจให้เรียบร้อยเสียก่อนอ่านคำสั่งศาลฎีกา และศาลชั้นต้นไม่อ่านคำสั่งศาลฎีกาให้นายปรีชาฟัง จนทนายผู้คัดค้านมาศาลและแถลงว่าผู้คัดค้านประสงค์ฎีกาเช่นเดิมเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดหลงและไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 นั้น เห็นว่า แม้ในวันที่ศาลชั้นต้นนัดฟังคำสั่งศาลฎีกา ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าผู้คัดค้านได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้นายปรีชามีอำนาจยื่นคำร้องขอถอนฎีกามาแต่ต้น แต่ศาลชั้นต้นยังดำเนินการจนได้ตัวผู้คัดค้านและทนายผู้คัดค้านมาศาลเพื่อสอบถามตามที่ศาลฎีกามีคำสั่งไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 ก็หาเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบไม่ เนื่องจากเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาตามคำสั่งศาลฎีกาและผู้คัดค้านกับทนายผู้คัดค้านมีหน้าที่ต้องมาศาลอยู่แล้ว เมื่อศาลชั้นต้นยังมิได้อ่านคำสั่งศาลฎีกาเกี่ยวกับคำร้องขอถอนฎีกาของผู้คัดค้าน และผู้คัดค้านแถลงขอถอนคำร้องขอถอนฎีกา จึงอนุญาตให้ผู้คัดค้านถอนคำร้องขอถอนฎีกาได้
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามคำแก้ฎีกาของผู้ร้องก่อนว่า ผู้คัดค้านเป็นผู้มีส่วนได้เสียมีสิทธิยื่นฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 หรือไม่ เห็นว่า เดิมผู้ร้องยื่นคำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาด และคำร้องขอเพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ให้ริบเงินมัดจำ ผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้รับจำนองที่ดินที่ถูกขายทอดตลาดยื่นคำคัดค้านเฉพาะคำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาด ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้องทั้งสองฉบับ ผู้ร้องอุทธรณ์เฉพาะคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องขอเพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ให้ริบเงินมัดจำ หลังจากศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำพิพากษาแก้เป็นว่าให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ให้ริบเงินมัดจำแล้วให้ขายทอดตลาดใหม่ โดยให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งให้ผู้ซื้อทรัพย์ (คือผู้ร้อง) นำเงินค่าซื้อทรัพย์ส่วนที่เหลือทั้งหมดมาชำระตามระเบียบของกรมบังคับคดีและดำเนินการต่อไปแล้ว ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือรายงานศาลชั้นต้นว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 โดยมีหมายแจ้งให้ผู้ร้องนำเงินมาชำระราคาส่วนที่เหลือภายใน 15 วัน นับแต่วันได้รับหมาย ครบกำหนดแล้วผู้ร้องไม่ชำระราคาส่วนที่เหลือ เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงมีคำสั่งริบเงินมัดจำและให้นำทรัพย์ออกขายทอดตลาดใหม่ เป็นเหตุให้ผู้ร้องมายื่นคำร้องเป็นคดีนี้อ้างว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้ปฏิบัติตามระเบียบของกรมบังคับคดี คำสั่งที่ 503/2560 ข้อ 12 ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำพิพากษาไว้ ซึ่งศาลชั้นต้นตรวจคำร้องแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้องโดยมิได้ดำเนินการไต่สวน ผู้คัดค้านจึงมิได้เข้ามาเป็นคู่ความเกี่ยวกับคำร้องขอเพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ให้ริบเงินมัดจำของผู้ร้องมาตั้งแต่แรก ประกอบกับผู้คัคค้านเป็นเพียงผู้รับจำนองที่ดินที่ขายทอดตลาด ซึ่งในการขายทอดตลาดเจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาดโดยติดจำนองไปด้วย สิทธิของผู้คัดค้านในฐานะผู้รับจำนองจึงยังคงมีอยู่ครบถ้วน ดังนั้น คำร้องของผู้ร้องที่ขอเพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ให้ริบเงินมัดจำตลอดจนคำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวจึงไม่ได้กระทบสิทธิของผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านจึงมิใช่ผู้มีส่วนได้เสียในคดีไม่มีสิทธิยื่นฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 เมื่อได้วินิจฉัยดังกล่าวแล้ว กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของผู้คัดค้านต่อไป
พิพากษายกฎีกาของผู้คัดค้าน คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดแก่ผู้คัดค้านค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ