คดีนี้จำเลยทำสัญญาเช่าโรงฟอกหนังกับธนาคารมีกำหนด ๓ ปี สัญญาข้อ ( ๔ ) ว่าถ้าจำเลยค้างชำระค่าเช่าธนาคารมีสิทธิกลับเข้าครองโรงฟอกหนังแลสัญญาเช่าเป็นอันเลิกเด็ดขาด ข้อ ( ๕ ) ถ้าเลิกสัญญาก่อน ๓ ปีจำเลยยอมรับซื้อโรงฟ้องหนังเป็นเงิน ๑๓๐๐๐๐ บาท จำเลยม่ชำระค่าเช่า ๑๖ เดือน ธนาคารจึงบอกเลิกสัญญาแลขอให้จำเลยซื้อโรงฟอกหนังตามสัญญา จำเลยไม่ปฏิบัติ ต่อมาธนาคารเข้ายึดโรงฟอกหนังแล้วจัดการขายทอดตลาดเสียเองโดยลำพังได้เงิน ๑๒๘๒๑ บาท ๓๐ สตางค์ น้อยไปกว่าที่ตกลงกันไว้ ๑๑๗๑๗๘ บาท ๗๐ สตางค์ ภายหลังจำเลยล้มละลายธนาคารจึงขอเข้าพิศูจน์หนี้ตามจำนวนเงินที่ขาดนั้น
เจ้าพนักงานรักษาทรัพย์ศาลคดีต่างประเทศแศาลอุทธรณ์เห็นว่าควรยอมรับพิศูจน์หนี้ของธนาคารได้
จำเลยฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยไม่ไดนำคดีขึ้นฟ้องร้องธนาคารจำเลยมีสิทธิที่จะร้องต่อศาลได้โดยไมต้องขออนุญาตจากเจ้าพนักงานรักษาทรัพย์ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย ม.๓๐ ข้อ ๑ ( ก ) ๗๘ ข้อ ๑-๗๙ แลสัญญาจะซื้อขายนี้เปนสัญญาที่มีสินจ้างอยู่ในตัวแล้ว แลไม่ใช่สัญญาที่มีเงื่อนไขบังคับก่อนตาม ป.พ.พ.๑๕๒ เรื่องนี้จำเลยเป็นผู้ผิดสัญญาไม่ซื้อ ธนาคารก็มีสิทธิที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหาย แต่ธนาคารกลับเอาโรงฟอกหนังไปขายเสียลำพังตนเองเช่นนี้ เป็นการพ้นวิสัยที่จะปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาได้ ธนาคารไม่มีสิทธิที่จะกำหนดค่าเสียหายเอาเองได้โดยไม่ได้ร้องขอต่อศาลหรือมีพะยานหลักฐานประกอบ เพราะฉะนั้นธนาคารจะมาพิศูจน์หนี้ไม่ได้ แตไม่ตัดสิทธิของธนาคารที่จะฟ้องร้องกองทรัพย์ของผู้ล้มละลายเรียกค่าเสียหายต่อไป