คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ เป็นห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลโดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นส่วนผู้จัดการ จำเลยได้ออกเช็คจ่ายให้กับบริษัทโรงงานฝ้ายกรุงเทพฯ จำกัด หรือผู้ถือเงินเป็นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท เช็คนี้โรงงานฝ้ายกรุงเทพ ฯ จำกัด ได้สลักหลังใช้หนี้ให้โจทก์ โจทก์นำเช็คไปเข้าบัญชีธนาคารแนชชั่นแนลแอลเติ่ล แต่เข้าไม่ได้ โจทก์จึงมีหนังสือบอกกกล่าวทวงถามให้ชำระแต่จำเลยเพิกเฉยจึงขอให้ศาลบังคับชำระ
จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์กับบริษัทโรงงานฝ้ายกรุงเทพ ฯ จำกัดคบคิดกันฉ้อฉลจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้สั่งจ่ายในการโอนเช็ครายนี้จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิดว่าจำนวนเงินตามเช็ครายพิพาทโจทก์ได้ทำสัญญาประนีประนอมกับบริษัทโรงงานฝ้าย ๆ โจทก์ได้รับชำระเงินตามสัญญาประนีประนอมกับบริษัทโรงงานฝ้าย ๆ ไปครบจำนวนเงินตามเช็คแล้ว
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๒๕,๐๐๐ บาทแก่โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี ส่วนจำเลยที่ ๒ ให้ยกฟ้องโจทก์
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาตามจำเลยข้อแรกได้ความว่าเช็คพิพาทหมาย จ.๑ เป็นเช็คสั่งจ่ายเงินลงวันล่วงหน้าซึ่งจำเลยที่ ๑ ออกให้แก่บริษัทโรงงานฝ้าย ฯ ๆ สลักหลังโอนให้แก่โจทก์เมื่อโจทก์ผู้ทรงเช็คได้รับไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนเช็คนั้นย่อมสมบูรณ์ จำเลยจะยกข้อต่อสู้ซึ่งมีอยู่กับคู่สัญญาคือบริษัทโรงงานฝ้าย ฯ ต่อโจทก์ผู้ทรงเช็คหรือผู้รับโอนมิได้เพราะในหลักเรื่องตั๋วเงินผู้รับโอนย่อมมีอำนาจดีกว่าผู้โอนหาใช่ผู้โอนมีอำนาจดีกว่าผู้รับโอนดังจำเลยเถียงมาในฎีกาไม่ ผู้สั่งจ่ายเช็คและผู้สลักหลังย่อมรับผิดต่อผู้ทรงเช็คเต็มจำนวนแล้วโจทก์มีสิทธิไล่เบี้ยเอาจากจำเลยได้ตามสัญญาประนีประนอมเอกสารหมาย ล.๑ นั้นหาใช่เป็นการแปลงหนี้ตามความหมายแห่ง ป.พ.พ. ม.๓๔๙ ดังจำเลยคัดค้านไม่เพราะระหว่างโจทก์และบริษัทโรงงานฝ้าย ฯ มิได้ทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ยังคงปฏิบัติถือตามหนี้เดิมอยู่ ฎีกาจำเลยในข้อนี้จึงตกไป
ตามฎีกาจำเลยข้อสองศาลฎีกาได้พิเคราะห์ข้อเท็จจริงพร้อมด้วยพฤติการณ์ทั้งหลายประกอบแล้วเห็นว่าฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้ที่โรงงานฝ้ายโอนเช็คใช้ให้ไปครบจำนวนแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะเรียกเงินจากจำเลยผู้สั่งจ่ายเช็คอีก ประเด็นข้อสุดท้ายไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยต่อไป ฎีกาจำเลยที่ ๑ ฟังขึ้นด้วยประการฉนี้
จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้องโจทก์.