โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นทหารประจำการทำการปล้นทรัพย์โดยสมคบกับพวกอีก ๒ คนซึ่งไม่ปรากฏว่าเป็นทหารหรือพลเรือนและยังหลบหนีอยู่ ศาลชั้นต้นติฟ้องโจทก์ สั่งให้ยืนยันเข้ามาว่าพวกของจำเลยเป็นทหารหรือพลเรือนแน่ โจทก์แถลงไม่ยืนยัน อ้างว่าตามสำนวนการสอบสวนไม่ปรากฎความข้อนี้โดยชัดเจน ศาลชั้นต้นจึงสั่งไม่รับฟ้องอ้างว่าคดีนี้ควรขึ้นศาลทหาร และฟ้องโจทก์ไม่ชัดเจนพอให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ศาลชั้นต้นรับประทับฟ้องคดีนี้ไว้พิจารณา แต่อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์มีความเห็นแย้งว่าควรพิพากษายืน
จำเลยฎีกา อ้างว่าคดีนี้ควรขึ้นศาลทหาร ศาลฎีกาเห็นว่าตาม พ.ร.บ.ธรรมนูญศาลทหารมุ่งหมายจำกัดบุคคลและประเภทคดีไว้โดยเฉพาะที่จะขึ้นศาลทหาร เป็นข้อยกเว้นจากหลักใหญ่ในวิธีพิจารณาเท่านั้น ฉนั้นคดีที่ขึ้นศาลทหารจะต้องปรากฎโดยแน่ชัดว่าเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร และเป็นประเภทคดีที่ระบุไว้เท่านั้น คดีนี้ไม่มีหลักฐานอย่างใดที่จะแสดงว่าพักพวกของจำเลยอี ๒ คนนั้นเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร จึงต้องฟังว่าเป็นบุคคลสามัญซึ่งอยู่ในอำนาจศาลพลเรือนดังนี้คดีนี้ขึ้นศาลทหารไม่ได้ พิพากษายืน