โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตและจำหน่ายเฮโรอีนดังกล่าว ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ฯลฯ
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองนั้น จำเลยมีเจตนาที่จะมีไว้เพื่อจำหน่าย การมีเฮโรอีนไว้เพื่อจำหน่ายและได้จำหน่ายเฮโรอีนที่มีไว้นั้นเป็นความผิดกรรมเดียวกัน เพราะจำเลยมิได้จำหน่ายเฮโรอีนรายอื่น พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2465 มาตรา 20 ทวิเพิ่มและลดโทษแล้วคงจำคุก 3 ปี 9 เดือน ฯลฯ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยได้กระทำความผิดต่างกรรม ต่างวาระกันเป็น 2 คราวคือจำหน่ายเฮโรอีนให้แก่พลตำรวจชนะโชติไป 2 ห่อครั้งหนึ่งแล้ว ต่อมาเมื่อสิบตำรวจโทวุฒิพงษ์มาทำการจับกุมก็ยังมีเฮโรอีนใส่ถุงพลาสติกบรรจุไว้ในกระบอกข้าวหลามอีก 5 ห่อ เรียกได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดเป็น 2 กรรม คือฐานจำหน่ายเฮโรอีนกระทงหนึ่ง และฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตอีกกระทงหนึ่ง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2465 มาตรา 4 ทวิ, 20 ทวิ, 20 ตรี, 29 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2504 มาตรา 4, 6, 7, 12 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 2 ลงโทษจำเลยฐานมีเฮโรอีนไว้ในความครอบครองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2465 มาตรา 20 ตรี ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 4)พ.ศ. 2504 มาตรา 7 ให้จำคุก 1 ปีและฐานจำหน่ายเฮโรอีนตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2465 มาตรา 20 ทวิ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2504 มาตรา 6 ให้จำคุก 5 ปี รวม 2 กระทงเป็นจำคุก 6 ปีเพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2465มาตรา 26 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2502 มาตรา 8 เป็นจำคุก 9 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยมีกำหนด 4 ปี 6 เดือน นอกนั้นให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์