คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์จึงขอศาลออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อทำการยึดอายัดทรัพย์สินของจำเลยทั้งสอง และเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2548 เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ทำการยึดบ้านเลขที่ 595 ของจำเลยที่ 1 ซึ่งปลูกสร้างอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 40522 ต่อมาวันที่ 4 เมษายน 2548 เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งให้ถอนการยึดบ้านหลังดังกล่าวเนื่องจากปลูกสร้างอยู่บนที่ดินซึ่งมีข้อความระบุว่าห้ามโอนภายในสิบปี จึงถือว่าบ้านเป็นส่วนควบกับที่ดินและเป็นทรัพย์ที่ไม่อยู่ในข่ายแห่งการบังคับคดี
โจทก์ยื่นคำร้องว่า กฎหมายห้ามยึดที่ดินซึ่งห้ามโอนตาม มาตรา 31 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินนั้น ไม่ได้ห้ามยึดสังหาริมทรัพย์อันเป็นส่วนควบกับที่ดิน ส่วนควบจึงไม่ใช่ทรัพย์ที่ต้องห้ามตามกฎหมาย โจทก์จึงสามารถนำยึดตัวบ้านของจำเลยที่ 1 เพื่อทำการขายทอดตลาดอย่างสังหาริมทรัพย์ได้ ขอให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ให้ถอนการยึดบ้านของจำเลยที่ 1 และให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์ต่อไป
จำเลยที่ 1 ยื่นคำคัดค้านว่า บ้านพร้อมที่ดินที่โจทก์ขอยึดเพื่อขายทอดตลาดนั้นเป็นทรัพย์มรดกที่จำเลยที่ 1 ยึดถือไว้แทนทายาทของจำเลยที่ 1 ซึ่งห้ามโอนภายในกำหนด 10 ปี บ้านเป็นส่วนควบกับที่ดิน โจทก์ไม่สามารถยึดทรัพย์ดังกล่าวได้ ขอให้ยกคำร้องของโจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่มีอำนาจยึดบ้านหลังดังกล่าวของจำเลยที่ 1 เนื่องจากไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการยึดโดยให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายด้วย เป็นคำสั่งที่ชอบแล้ว ไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนคำสั่ง ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์ในสถานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดบ้านเลขที่ 535 ของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา บ้านดังกล่าวปลูกสร้างอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 40522 ตำบลพังขว้าง อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งให้ถอนการยึดบ้านหลังดังกล่าวเนื่องจากปลูกสร้างอยู่บนที่ดินที่มีข้อกำหนดห้ามโอนภายใน 10 ปี นับแต่วันที่ 21 พฤษภาคม 2540 ถึงวันที่ 21 พฤษภาคม 2550 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการยึดบ้านพิพาทชอบหรือไม่ เห็นว่า บ้านของจำเลยที่ 1 ที่โจทก์นำยึดมีลักษณะเป็นบ้านครึ่งตึกครึงไม้ 2 ชั้น ปลูกสร้างอย่างแน่นหนาถาวรบนที่ดินโฉนดเลขที่ 40522 ตำบลพังขว้าง อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร บ้านจึงเป็นส่วนควบกับที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 144 วรรคหนึ่ง เมื่อที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์ประธานถูกห้ามโอนตามกฎหมาย บ้านซึ่งเป็นส่วนควบของที่ดินย่อมถูกห้ามโอนด้วย แม้โจทก์จะอุทธรณ์อ้างว่า โจทก์ประสงค์จะยึดบ้านพิพาทอย่างสังหาริมทรัพย์ โดยในการขายทอดตลาด ผู้ที่ซื้อทรัพย์จะต้องรื้อถอนบ้านออกจากที่ดินไปเองนั้น ข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวก็เป็นเรื่องที่จะดำเนินการได้เมื่อกำหนดเวลาห้ามการโอนผ่านพ้นไปแล้วเสียก่อน เมื่อโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดบ้านพิพาทในวันที่ 23 มีนาคม 2548 ซึ่งอยู่ในระยะเวลาห้ามโอนตามกฎหมาย กรณีจึงมีเหตุที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะถอนการยึดบ้านหลังดังกล่าวได้ และโจทก์ซึ่งเป็นผู้นำยึดจึงต้องเป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขาย ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์เป็นการชอบแล้ว"
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ในเป็นพับ