โจทก์ฟ้องว่าระหว่างวันที่ ๒ ๓๐ กันยายนถึงวันที่ ๑๕ มกราคม พ.ศ ๒๔๗๙ มีผู้ร้ายลักทรัพย์ของแผนกทะเบียนยานพาหนะจังหวัดเชียงใหม่ไปหลายอย่าง ครั้นวันที่ ๑๕ มกราคม จับของกลางที่ถูกลักไปจากจำเลย โดยจำเลยเป็นคนร้ายลักทรัพย์เหล่านั้นหรือมิฉะนั้นจำเลยเป็นคนร้ายลักทรัพย์เหล่านั้นหรือมิฉะนั้นจำเลยได้บังอาจรับทรัพย์นั้นไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ผู้โอนได้มาโดยการกระทำผิดต่อกฏหมาย ขอให้ลงโทษตาม ม. ๒๙๔ - ๓๒๑ - ๗๑
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ฟ้องโจทก์เป็นการพูดเลี่ยงโดยไม่ปน่ว่าจำเลยเป็นผู้ลักเองหรือได้รับทรัพย์ไว้จากผู้ใด จึงไม่ชอบด้วยประมวลวิธีพิจารณาอาญา ม. ๑๕๘(๕) พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลฎีกาเห็นว่า ในกรณีที่จับของกลางได้จากจำเลย ๆ จะมีผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรนั้น แล้วแต่ข้อเท็จจริงซึ่งศาลมีหน้าที่จะชี้ขาดว่าจะเป็นความผิดฐานไหนการที่โจทก์ไม่เลือกชี้เอาเสียเองยื่นฟ้องมาให้ศาลชี้นั้นเป็นการที่โจทก์ทำชอบ ไม่ใช่เป็นการฟ้องเคลือบคลุมเอาเปรียบจำเลยแลไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามในข้อนี้ แลเห็นว่าฟ้องโจทก์ในคดีนี้ได้แจ้งข้อเท็จจริง แลมีประเด็นจำกัดที่โจทก์จำเลยจะสืบได้ โดยไม่มีข้ออะไรจะหลง จึงพิพากษายื่นตามศาลอุทธรณ์ที่ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาในข้อเท็จจริงใหม่