คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอม ให้จำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 23,485,302.72 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 18,878,400.09 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ตกลงผ่อนชำระรายเดือน หากผิดนัดงวดใดถือว่าผิดนัดทั้งหมด ยอมให้โจทก์บังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 12858, 12855, 12445, 9026, 9027 และ 5138 ตำบลบางโพงพาง อำเภอยานนาวา (เมือง) กรุงเทพมหานคร ของจำเลยที่ 2 ทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด นำเงินมาชำระหนี้จนครบ แล้วจำเลยทั้งสองผิดนัด โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาด
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยในทรัพย์สินที่โจทก์ยึดไว้หรือจากเงินที่ขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ภายหลังที่ได้ชำระหนี้แก่โจทก์แล้ว
โจทก์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 2 ในคดีหมายเลขแดงที่ 6537/2546 ของศาลชั้นต้น โดยเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2546 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 41,750,234 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี ของต้นเงิน 37,096,133 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง โดยผ่อนชำระเป็นรายเดือนให้เสร็จสิ้นภายใน 5 ปี แต่จำเลยที่ 2 ผิดนัดไม่ชำระหนี้ ผู้ร้องจึงขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 2 ต่อมาวันที่ 9 กันยายน 2548 ศาลแพ่งมีคำสั่งในคดีหมายเลขแดงที่ ฟ.58/2548 ให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 5138, 9026, 9027, 12445, 12855 และ 12858 ตำบลบางโพงพาง อำเภอยานนาวา (เมือง) กรุงเทพมหานคร ของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นทรัพย์พิพาท ตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 51 วรรคหนึ่ง โดยให้ผู้คัดค้านนำที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาดและนำเงินมาชำระหนี้จำนองแก่โจทก์ตามคำพิพากษาในคดีนี้ คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลฎีกาในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2554 เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2550 เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์พิพาทออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ ส่วนเงินที่เหลือจากการขายทอดตลาด 26,100,651.80 บาท กรมบังคับคดีจ่ายให้แก่ผู้คัดค้าน หลังจากนั้นผู้คัดค้านส่งเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยให้กระทรวงการคลังเพื่อเป็นรายได้ของแผ่นดิน
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีสิทธิขอเฉลี่ยทรัพย์หรือไม่ เห็นว่า แม้ขณะที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ คดีหมายเลขแดงที่ ฟ.58/2548 ของศาลแพ่งจะยังไม่ถึงที่สุดก็ตาม แต่ตราบใดที่ยังไม่มีคำพิพากษาศาลสูงเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น คำสั่งของศาลแพ่งที่ให้ทรัพย์พิพาทตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2522 มาตรา 51 วรรคหนึ่ง ในคดีดังกล่าวนั้นย่อมมีผลอยู่ ดังนี้ นับตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2548 ซึ่งเป็นวันที่ศาลแพ่งมีคำสั่งในคดีหมายเลขแดงที่ ฟ.58/2548 เป็นต้นไป ทรัพย์พิพาทจึงมิใช่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ลูกหนี้ตามคำพิพากษา เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์วันที่ 12 พฤศจิกายน 2551 หลังจากที่ศาลแพ่งมีคำสั่งให้ทรัพย์พิพาทตกเป็นของแผ่นดินแล้ว ทั้งทรัพย์สินของแผ่นดินย่อมไม่อาจยึดเพื่อการบังคับคดีไม่ว่าด้วยเหตุใดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1307 ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอเฉลี่ยทรัพย์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ