สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่าทรัพย์ที่จำเลยซื้อได้จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลเป็นของโจทก์ไม่ใช่เป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษา จำเลยซื้อไว้โดยไม่สุจริต ขอให้ศาลบังคับจำเลยรับเงินชดใช้ราคาที่ดินตามราคาที่ซื้อมาและคืนที่ดินให้แก่โจทก์
สำนวนหลัง โจทก์ฟ้องว่าการขายทอดตลาดทรัพย์ของโจทก์ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษารวมทั้งของโจทก์ในสำนวนแรกเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและระเบียบ เป็นโมฆะ ขอให้ศาลเพิกถอนการขาย
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การสู้คดี
ศาลชั้นต้นฟังว่าทรัพย์ที่ถูกยึดและขายทอดตลาดทั้งสองคดีเป็นของนายกล่ำ ลูกหนี้ตามคำพิพากษาผู้เดียว การยึดและขายทอดตลาดเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย พิพากษายกฟ้องทั้งสองสำนวน
โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟัรงว่า ที่พิพาทในสำนวนแรกเป็นของโจทก์ตามฟ้อง ไม่ใช่ของนายกล่ำลูกหนี้ตามคำพิพากษา แต่ได้พลอยถูกยึดขายทอดตลาดไปด้วย แต่การขายทอดตล
าดยังฟังไม่ได้ว่าเป็นไปโดยไม่สุจริต ผู้ซื้อได้โดยสุจริตจึงมิเสียสิทธิ แม้ทรัพย์นั้นจะมิใ่เป็นของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๐ โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอชำระราคาทรัพย์เพื่อรับทรัพย์นั้นคือ พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่าการขายทอดตลาดเป็นไปโดยสุจริตและวินิจฉัยว่า ที่โจทก์อ้างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๒ ขอชดใช้ราคาเงินแก่ผู้ซื้อ เพื่อได้คืนทรัพย์ที่ขายทอดตลาดนั้น เห็นว่า มาตรานี้ใช้สำหรับการขายทอดตลาดหรือขายในท้องตลาดธรรมดา แต่คดีนี้การขายทอดตลาดทรัพย์ของผู้แพ้คดีได้กระทำไปโดยเจ้าพนักงานตามคำสั่งศาล เมื่อฟังว่าผู้ซื้อทรัพย์ในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลนี้โดยสุจริตดังกล่าวแล้ว สิทธิของผู้ซื้อก็มิเสียไป ถึงแม้ภายหลังจะพิสูจน์ได้ว่าทรัพย์สินนั้นมิใช่ของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๐ เจ้าของทรัพย์อันแท้จริงจะยกบทบัญญัติตามมาตรา ๑๓๓๒ มาใช้บังคับแก่กรณีนี้ย่อมไม่ได้ พิพากษายืน