คดีสืบเนื่องมาจาก ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน จำนวน5,664,604.64 บาท แก่โจทก์ โดยหักเงินปันผล 15,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีออกเสียก่อน แล้วให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราเดียวกันในต้นเงิน 4,754,759 บาท ให้โจทก์ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่จำเลยตามฟ้องแย้ง 83,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องแย้ง ให้โจทก์คืนใบหุ้นของบริษัทสหยูเนี่ยน จำกัด จำนวน 1,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ100 บาท แก่จำเลย ในการบังคับคดีจำเลยขอให้นำหุ้นของบริษัทต่าง ๆรวม 6 บริษัทของจำเลย จำนวน 17,000 หุ้นที่โจทก์ส่งให้กรมบังคับคดีออกขายในตลาดหลักทรัพย์แทนการขายทอดตลาด ศาลชั้นต้นอนุญาตขายหุ้นได้เงิน 5,681,121.98 บาท ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่29 กันยายน 2530 ให้โจทก์รับเงินจำนวนดังกล่าวไปได้
จำเลยยื่นคำร้องว่า ระหว่างพิจารณาคดีโจทก์ได้ขายหุ้นของจำเลยที่โจทก์เป็นตัวแทนซื้อให้จำเลยอันเป็นมูลเหตุในคดีนี้ไปแล้วภายหลังจากศาลฎีกามีคำพิพากษา โจทก์ส่งใบหุ้นต่อกรมบังคับคดีปรากฎว่าหุ้นที่ส่งเป็นหุ้นที่เพิ่งซื้อใหม่ภายหลังโจทก์ฟ้องคดีแล้วจำเลยจึงหลุดพ้นจากความรับผิดที่จะต้องชำระเงินให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา ศาลฎีกาหรือรับผิดเป็นเงินค่าดอกเบี้ยเพียง 940,652 บาทนอกจากนี้โจทก์ได้รับเงินปันผลจากหุ้นของจำเลยทุกปีรวมเป็นเงิน1,306,966 บาทจึงต้องนำเงินดังกล่าวไปหักกลบลบหนี้ให้จำเลยเมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามจึงต้องชำระดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงินดังกล่าวคิดเป็นเงิน 657,493 บาท จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์น้อยลงหรือไม่ต้องรับผิดเลย
โจทก์คัดค้านว่า หุ้นชนิดเดียวกัน จำนวนเท่ากัน ส่งมอบแทนกันได้ การที่จำเลยยื่นคำร้องขอให้นำหุ้นออกขายในตลาดหลักทรัพย์แทนการขายทอดตลาดเป็นการยอมรับว่าหุ้นดังกล่าวเป็นของจำเลยจำเลยไม่ชำระเงินตามฟ้องจึงต้องชำระดอกเบี้ยตามคำพิพากษาโจทก์รับเงินปันผลเพียง 888,827.99 บาท เมื่อจำเลยไม่ชำระค่าหุ้นโจทก์จึงยึดหน่วงเงินปันผลได้โดยไม่ต้องชำระดอกเบี้ยแก่จำเลยและจำเลยไม่ได้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติว่า จำเลยเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์ โดยมีมูลหนี้อันเกิดจากการที่โจทก์เป็นตัวแทนซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้แก่จำเลยต่อมาจำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้บังคับคดีในชั้นบังคับคดีโจทก์ส่งใบหุ้นของจำเลยที่โจทก์ใช้สิทธิยึดหน่วงไว้ต่อกรมบังคับคดีปรากฏว่าเป็นหุ้นที่โจทก์เพิ่งซื้อใหม่ภายหลังจากที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้แล้ว นอกจากนี้โจทก์ยังได้รับเงินปันผลจากหุ้นของจำเลยดังกล่าวอีกด้วย คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า การที่โจทก์ส่งมอบใบหุ้นของจำเลยซึ่งเป็นหุ้นที่ซื้อมาภายหลังให้แก่กรมบังคับคดีในชั้นบังคับคดีจะมีผลทำให้จำเลยหลุดพ้นไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ตามคำพิพากษาหรือไม่ เห็นว่า ใบหุ้นที่ซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์เป็นทรัพย์ที่มีสภาพเช่นเดียวกับสังกมทรัพย์ซึ่งสามารถนำใบหุ้นชนิดและประเภทเดียวกัน ซึ่งมีจำนวนเท่ากันใช้แทนกันได้หาจำต้องเป็นใบหุ้นฉบับเดียวกันที่ซื้อไว้ด้วยไม่ และแม้จะเป็นใบหุ้นที่ซื้อมาในวันอื่นภายหลังก็ตาม เมื่อได้ความว่าก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ได้ซื้อหุ้นให้แก่จำเลยตามข้อตกลงถูกต้องครบถ้วนแล้วโจทก์ย่อมมีสิทธิทีจะนำใบหุ้นบริษัทเดียวกันหมายเลขใด ๆ ซึ่งมีจำนวนหุ้นเท่ากันมาโอนให้แก่จำเลยได้ ดังนั้น การที่โจทก์ส่งมอบใบหุ้นพิพาทให้แก่กรมบังคับคดีในการบังคับคดีเอาแก่จำเลยเช่นนี้ถือว่าโจทก์ทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจึงไม่หลุดพ้นจากความรับผิดตามคำพิพากษาศาลฎีกา ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน