โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นข้าราชการกรมชลประทาน  ดำรงตำแหน่งประจำแผนก  และทำหน้าที่สมุหบัญชีของกรมชลประทานโครงการก่อสร้างภาคพายัพ  บังอาจทำปลอมเอกสารราชการ  ใบสมัครลูกจ้างคนงาน  ใบขอจ้างคนงาน  และใบเบิกค่าแรงงานหลายฉบับ  และนำออกใช้โดยสอดแทรกกับเอกสารราชการ ๓ ประเภทที่แท้จริง  เพื่อเป็นหลักฐานว่าได้รับสมัครงานและจ้างเพิ่มคนงานจำนวน ๓๓๖ คน  และทำหลักฐานว่าได้จ่ายค่าแรงคนงานดังกล่าวไปแล้วเป็นเงิน ๘๘,๐๘๕ บาท  ในประการที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่กรมชลประทานและผู้บังคับบัญชา  และจำเลยได้ทุจริตเบียดบังยักยอกเงินจำนวนดังกล่าวไว้เป็นของตนเสีย  ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๑๔๗,  ๑๕๑, ๑๕๗,  ๒๖๕,  ๒๖๘,  ๙๑  พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม  ประมวลกฎหมายอาญา  พ.ศ. ๒๕๐๒  มาตรา  ๓, ๗, ๑๓  และให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน ๘๘,๐๘๕ บาท  แก่กรมชลประทาน
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยกระทำทุจริตในตำแหน่งหน้าที่และใช้เอกสารราชการปลอมเพื่อเจตนาเบียดบังยักยอกเงินจำนวนตามฟ้องไว้เป็นของตนหรือผู้อื่น  แต่โจทก์มิได้บรรยายถึงการกระทำผิดฐานปลอมเอกสารราชการตาม  มาตรา ๒๖๔, ๒๖๕  ทั้งมิได้อ้างบทกฎหมายถึงการที่จำเลยร่วมกระทำผิดด้วยกันกับผู้อื่น  อันแสดงว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษ  ฐานใช้เอกสารปลอมตามมาตรา ๒๖๘  เท่านั้น  และโจทก์มิได้อ้างบทมาตรา  ในความผิดฐานยักยอกทรัพย์มาท้ายฟ้อง  จึงลงโทษจำเลยฐานนี้ไม่ได้  เพราะมิใช่เป็นการอ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา ๑๙๒  วรรค ๔  ทั้งโจทก์มิได้แยกวันเวลาแห่งการกระทำผิดต่างกรรมวาระ  ออกเป็นกระทงความผิดแต่ละอย่าง  กรณีจึงเป็นเรื่องกระทำผิดหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๔๐ พิพากษาว่า  จำเลยมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานทุจริตต่อหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ  และใช้เอกสารปลอม  ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๑๔๗, ๑๕๑, ๑๕๗  และ ๒๖๘   พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๐๒  มาตรา ๓, ๗, ๑๓ ลงโทษตามมาตรา ๑๔๗ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ.๒๕๐๒ มาตรา ๓  อันเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๙๐  จำคุกจำเลย ๖ ปี  จำเลยไม่เคยกระทำผิดมาก่อนและคำรับของจำเลยตามเอกสารหมาย จ. ๑๙  แสดงถึงการรู้สึกความผิดเป็นการพยายามบรรเทาผลร้ายเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา  มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ ๑ ใน ๓ ตามมาตรา ๗๘  คงจำคุก ๔ ปี  แม้จะลงโทษจำเลยฐานยักยอกตามมาตรา ๓๕๒, ๓๕๓  ไม่ได้  แต่การทุจริตต่อหน้าที่ของจำเลยเป็นความผิดฐานเจ้าพนักงานเบียดบังยักยอกทรัพย์  ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๑๔๗  อัยการโจทก์มีอำนาจขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ได้   ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มารตรา ๔๓ จึงให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน ๘๘,๐๘๕  บาทแก่กรมชลประทานด้วย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา  ศาลชั้นต้นสั่งรับแต่เฉพาะฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายซึ่งมี ๓ ข้อ  ด้วยกันคือ
๑.  โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปลอมและใช้เอกสารปลอมทุจริตเอาเงินไป ๒ ครั้ง  และข้อเท็จจริงในคดีปรากฏว่ามีหลักฐานการปลอมมากกว่า ๒ ครั้ง  ข้อเท็จจริงจึงต่างกับฟ้อง  ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  ศาลชอบที่จะยกฟ้อง
๒. โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่การงาน  ไม่ได้ฟ้องขอให้ลงโทษฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๓๕๒  จึงไม่มีอำนาจขอให้คืนหรือใช้เงินที่กรมชลประทานถูกเบียดบังไป
๓.  โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นผู้จัดให้มีการปลอมเอกสารขึ้นแต่ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายถึงการกระทำ  ทั้งมิได้อ้างกฎหมายที่จำเลยร่วมกระทำผิด  ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยข้อนี้  เพราะเห็นว่าลงโทษไม่ได้  แต่ศาลอุทธรณ์กลับวินิจฉัยข้อนี้  และเห็นว่าจำเลยเกี่ยวข้องในการปลอมแปลงด้วย  อันเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า  ๑.  เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่าจำเลยปลอมเอกสารเอาเงินไปแล้ว  แม้จะเกินกว่า ๒ ครั้ง  ก็ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงต่างกับฟ้อง   ๒.  ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  มาตรา ๔๓  ซึ่งให้อัยการเรียกทรัพย์สินหรือราคาคืนในคดียักยอกนั้น  หมายความรวมถึงการเรียกทรัพย์ในคดีเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์  ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา ๑๔๗  ด้วยตามแบบอย่างคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๙๐๗/๒๔๙๔    ๓.  แม้ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยประเด็นข้อปลอมแปลงเอกสารเพราะฟ้องมิได้บรรยายจึง  เมื่อประเด็นข้อนี้เป็นข้อเท็จจริงในความผิดฐานยักยอกซึ่งจำเลยอุทธรณ์ขึ้นมา  ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะวินิจฉัยได้  พิพากษายืน