คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันลักทรัพย์ (ล้วงกระเป๋า)ผู้เสียหายก่อนคดีนี้จำเลยทั้งสองเคยต้องคำพิพากษาถึงจำคุกมาแล้วและมากระทำผิดอีกภายใน ๕ ปี นับจากวันพ้นโทษ จำเลยที่ ๑ เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุด ให้กักกันมาแล้ว พ้นจากการกักกัน แล้วภายใน ๑๐ ปีมาทำผิดคดีนี้อีก ขอให้ลงโทษและเพิ่มโทษจำเลยทั้งสองกับกักกันจำเลยที่ ๑ ด้วย
จำเลยที่ ๑ ให้การรับสารภาพ แต่โต้แย้งข้อที่โจทก์ขอให้กักกันจำเลยที่ ๒ ปฏิเสธฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕, ๘๓ ให้จำคุกคนละ ๓ ปี เพิ่มโทษคนละ ๑ ใน ๓ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๒ เป็นจำคุกคนละ๔ ปี จำเลยที่ ๑ รับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด๒ ปี เมื่อจำเลยที่ ๑ รับโทษตามกำหนดแล้ว ให้ส่งตัวไปกักกันไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๔๑ มีกำหนด ๓ ปี
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์เฉพาะเรื่องกักกัน จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ ๒ แต่คงให้ลงโทษและกักกันจำเลยที่ ๑ ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑ ฎีกาไม่ให้กักกัน อ้างว่าได้รับการล้างมลทินตามพระราชบัญญัติล้างมลทินฯ โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ ๒ ด้วย
ศาลฎีกาฟังว่า จำเลยที่ ๒ ได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ ๑ สำหรับจำเลยที่ ๑ นั้น ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ พ้นจากการกักกันในคดีก่อน ในวันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๒ ภายหลังจากวันที่พระราชบัญญัติล้างมลทินในโอกาสครบ ๒๕ พุทธศตวรรษ พ.ศ. ๒๔๙๙ ใช้บังคับ จึงวินิจฉัยว่าผู้ที่จะได้รับล้างมลทินตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติล้างมลทินในโอกาสครบ ๒๕ พุทธศตวรรษ พ.ศ. ๒๔๙๙ นั้น จะต้องเป็นผู้ที่พ้นโทษไปก่อนหรือในวันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ ซึ่งเป็นวันที่พระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับ หรือได้พ้นโทษไปโดยผลแห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการพระราชทานอภัยโทษเนื่องในโอกาสครบ ๒๕ พุทธศตวรรษ เมื่อจำเลยที่ ๑พ้นจากการกักกันในคดีก่อนในวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๐๒ จำเลยที่ ๑ จึงยังถูกกักกันอยู่ในวันที่พระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับ และโทษกักกันก็มิได้อยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับการพิจารณาให้พ้นโทษไปโดยผลแห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการพระราชทานอภัยโทษเนื่องในโอกาสครบ ๒๕ พุทธศตวรรษจำเลยที่ ๑ จึงมิได้รับประโยชน์จาก มาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัตินี้
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น