สำนวนแรก โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าการสมรสระหว่างจำเลยกับผู้ตาย เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2533 เป็นโมฆะ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
สำนวนที่สอง โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้พิพากษาว่าการจดทะเบียนสมรสระหว่างจำเลยกับผู้ตายเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2529 ณ สำนักงานเขตบางกอกใหญ่เป็นโมฆะ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยให้คงเรียกโจทก์สำนวนแรกซึ่งเป็นจำเลยสำนวนที่สองว่า โจทก์ เรียกจำเลยสำนวนแรกซึ่งเป็นโจทก์สำนวนที่สองว่า จำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า การสมรสระหว่างพลเอกนิพนธ์ กับพันเอกหญิงเอกอรหรือเสาวนีย์ (โจทก์) ที่ได้จดทะเบียนสมรสกัน เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2529 ณ สำนักงานเขตบางกอกใหญ่ เป็นโมฆะ ให้แจ้งนายทะเบียนสำนักงานเขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร เพื่อบันทึกความเป็นโมฆะไว้ในทะเบียนสมรสเมื่อคำพิพากษาแสดงว่าการสมรสระหว่างพลเอกนิพนธ์ กับพันเอกหญิงเอกอร ถึงที่สุด ให้ยกฟ้องโจทก์สำนวนแรก ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองสำนวนให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลย (โจทก์ในสำนวนที่สอง) ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ทั้งสองสำนวนให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามประเด็นที่จำเลยฎีกาว่า การสมรสของโจทก์กับผู้ตายเป็นโมฆะเพราะเป็นการสมรสซ้อนหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า แม้โจทก์จะจดทะเบียนหย่ากับพันตรีจำรัสปี 2532 ก็ไม่ทำให้การจดทะเบียนสมรสระหว่างโจทก์กับผู้ตายในปี 2529 มีผลสมบูรณ์และที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ฟังข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า การสมรสระหว่างโจทก์กับพันตรีจำรัสเป็นโมฆะไม่ชอบเพราะมิได้เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้ว โดยชอบในศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ยกเอาข้ออ้างตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษาว่าการสมรสระหว่างโจทก์กับพันตรีจำรัสเป็นโมฆะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวกับคำให้การและคำฟ้องของจำเลยในสำนวนคดีหลังซึ่งเป็นข้อที่โจทก์ไม่สามารถยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นได้และเป็นข้อเท็จจริงที่เกี่ยวพันกับปัญหาข้อกฎหมายว่า การสมรสระหว่างโจทก์กับผู้ตายชอบด้วยกฎหมายหรือไม่และการสมรสระหว่างจำเลยกับผู้ตายเป็นการสมรสซ้อนหรือไม่ นับว่าเป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องของโจทก์ที่ต้องพิจารณาต่อไปว่าโจทก์เป็นผู้มีส่วนได้เสียในการที่จะร้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสระหว่างจำเลยกับผู้ตายเป็นโมฆะได้หรือไม่ ปัญหาดังกล่าวแม้เป็นข้อที่โจทก์มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น แต่ก็ต้องด้วยบทยกเว้นที่ให้คู่ความที่เกี่ยวข้องมีสิทธิที่จะยกขึ้นอ้างเป็นปัญหาในชั้นอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 วรรคสองประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวมาตรา 6 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 รับวินิจฉัยให้จึงชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว และเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์สมรสกับพันตรีจำรัสในขณะที่พันตรีจำรัสมีคู่สมรสอยู่แล้วการสมรสระหว่างพันตรีจำรัสกับโจทก์จึงเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1452 ย่อมตกเป็นโมฆะตาม มาตรา 1495 ผู้มีส่วนได้เสียซึ่งรวมถึงโจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะกล่าวอ้างหรือจะมีคำร้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสเป็นโมฆะก็ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1497 แม้ในคดีนี้จำเลยฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า การสมรสระหว่างโจทก์กับผู้ตายเป็นโมฆะ โดยอ้างว่าโจทก์เป็นคู่สมรสกับพันตรีจำรัสในขณะจดทะเบียนสมรสกับผู้ตาย แต่โจทก์ให้การว่าการสมรสระหว่างโจทก์กับพันตรีจำรัสเป็นโมฆะเนื่องจากพันตรีจำรัสจดทะเบียนสมรสกับหญิงอื่นและยังมิได้จดทะเบียนหย่า ย่อมมีผลถึงการกล่าวอ้างถึงการเป็นโมฆะของการสมรสระหว่างโจทก์กับพันตรีจำรัส ซึ่งคดีนี้ย่อมมีประเด็นว่าการสมรสระหว่างโจทก์กับพันตรีจำรัสเป็นโมฆะหรือไม่ เพื่อจะนำไปสู่การวินิจฉัยว่า การสมรสระหว่างจำเลยกับผู้ตายเป็นโมฆะหรือไม่ ตามคำฟ้องของโจทก์เมื่อพิเคราะห์ถึงพยานหลักฐานในสำนวนคดีนี้และข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติข้างต้น ได้ความว่าในขณะที่โจทก์จดทะเบียนสมรสกับพันตรีจำรัสนั้น พันตรีจำรัสมีคู่สมรสเป็นหญิงอื่นอยู่แล้วการสมรสระหว่างโจทก์กับพันตรีจำรัสย่อมตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1452 ประกอบมาตรา 1495 ซึ่งความเป็นโมฆะของการสมรสดังกล่าวย่อมมีผลไปถึงวันที่โจทก์จดทะเบียนสมรสกับพันตรีจำรัส หาใช่มีผลนับแต่วันที่โจทก์จดทะเบียนหย่ากับพันตรีจำรัสในปี 2532 ไม่ ฉะนั้นในขณะที่โจทก์จดทะเบียนสมรสกับผู้ตายจึงถือไม่ได้ว่าในขณะนั้นโจทก์ยังมีคู่สมรสอยู่ การสมรสระหว่างโจทก์กับผู้ตายจึงไม่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 1452 ย่อมมีผลสมบูรณ์และโจทก์มีฐานะเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย เมื่อปรากฏว่าจำเลยจดทะเบียนสมรสกับผู้ตายในปี 2533 โดยโจทก์กับผู้ตายยังเป็นคู่สมรสกันอยู่เช่นนี้ การสมรสระหว่างจำเลยกับผู้ตายจึงฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งมาตรา 1452 ย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1495 ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะใช้สิทธิโดยไม่สุจริตเป็นการไม่ชอบนั้นชอบหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า โจทก์ไม่ทราบมาก่อนว่าจำเลยจดทะเบียนสมรสกับผู้ตาย โจทก์เพิ่งมาทราบภายหลังเมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายแล้วเพราะจำเลยมายื่นขอรับเงินทดแทนและเงินบำเหน็จตกทอดของผู้ตาย โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยโดยใช้สิทธิสุจริต เห็นว่า ในการร้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสเป็นโมฆะตาม มาตรา 1497 มิใช่เรื่องของอายุความในกรณีใช้สิทธิเรียกร้องซึ่งอยู่ภายใต้บังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 ที่ให้มีกำหนด 10 ปี ดังนั้นผู้มีส่วนได้เสียชอบที่จะร้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสเป็นโมฆะเมื่อใดก็ได้ ประกอบกับได้ความตามคำฟ้องสอดคล้องกับที่จำเลยเบิกความรับว่า เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายในปี 2551 จำเลยจึงมายื่นขอรับเงินทดแทนและเงินบำเหน็จตกทอดของผู้ตาย แต่โจทก์ยื่นคำคัดค้านที่จำเลยขอรับเงินทดแทนและเงินบำเหน็จตกทอดของผู้ตายโดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ทราบถึงการสมรสระหว่างจำเลยกับผู้ตายเมื่อใดและการที่จำเลยไปใช้สิทธิในฐานะภริยาผู้ตายย่อมเป็นการกระทบกระเทือนสิทธิและโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์ชอบที่จะมาฟ้องเพื่อขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่าการสมรสของจำเลยกับผู้ตายเป็นโมฆะในคดีนี้ได้ หาใช่เป็นการส่อแสดงว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่ นอกจากนี้ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า โจทก์กับผู้ตายสมรสโดยไม่สุจริตเพราะขณะนั้นโจทก์มีคู่สมรสอยู่แล้ว แต่เมื่อผลการสมรสระหว่างพันตรีจำรัสกับโจทก์เป็นโมฆะและเสียเปล่ามาแต่ต้นย่อมทำให้การสมรสระหว่างโจทก์กับผู้ตายชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่ต้องพิจารณาว่าโจทก์ได้สมรสกับผู้ตายโดยสุจริตหรือไม่เพราะเป็นกรณีที่จะใช้บังคับสำหรับการสมรสที่เป็นโมฆะและสิทธิของคู่สมรสดังกล่าวจะเสื่อมสิทธิที่ได้มาเพราะการสมรสหรือไม่ตาม มาตรา 1499 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่จะใช้บังคับเมื่อการสมรสระหว่างโจทก์กับผู้ตายเป็นการสมรสซ้อนเท่านั้น ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยเหตุนี้มานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น ส่วนฎีกาของโจทก์ข้ออื่นไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษาแก้เป็นว่า การสมรสระหว่างพลเอกนิพนธ์ (ผู้ตาย) กับนางสาวหรือนางจรีรัตน์หรือเรณุกา (จำเลย) ซึ่งจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2533 เป็นโมฆะ ให้แจ้งนายทะเบียนสำนักทะเบียนอำเภอเมืองนนทบุรีเพื่อบันทึกความเป็นโมฆะไว้ในทะเบียนสมรส ให้ยกฟ้องจำเลย (โจทก์สำนวนที่สอง) ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองสำนวนทั้งสามศาลให้เป็นพับ