โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 276, 318
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 83 จำคุก 2 ปี ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องในฐานความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 83 เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยกับพวกใช้ให้นายภาณุพงษ์ขับรถจักรยานยนต์ไปรับผู้เสียหายที่ 1 มาที่วัดสะแก จากนั้นจำเลยกับพวกให้นายภาณุพงษ์ขับรถจักรยานยนต์พาผู้เสียหายที่ 1 ไปที่บ้านที่เกิดเหตุ แล้วจำเลยกับพวกร่วมประเวณีกับผู้เสียหายที่ 1 แม้ก่อนวันเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 3 อนุญาตผู้เสียหายที่ 1 ไปเที่ยวงานที่วัดเขาดิน และผู้เสียหายที่ 1 ออกจากวัดเขาดินไปกับเพื่อนโดยไม่ได้กลับบ้านของผู้เสียหายที่ 3 ก็ตาม แต่ได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 3 ว่า ตั้งแต่ผู้เสียหายที่ 1 หายไปไม่สามารถติดต่อได้ พยานได้สอบถามเพื่อน ๆ ของผู้เสียหายที่ 1 แล้วไม่มีใครรู้ว่าไปที่ใด ผู้เสียหายที่ 3 รออยู่หลายวัน ผู้เสียหายที่ 1 ยังไม่กลับมาจึงแจ้งให้ผู้เสียหายที่ 2 ทราบ ต่อมาจึงไปแจ้งความร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจภูธรอุทัย พฤติการณ์ดังกล่าวบ่งชี้แสดงให้เห็นว่าตั้งแต่ผู้เสียหายที่ 1 ออกจากวัดเขาดิน ผู้เสียหายที่ 1 ยังคงอยู่ในอำนาจปกครองดูแลของผู้เสียหายที่ 3 ซึ่งเป็นย่า การที่จำเลยกับพวกใช้ให้นายภาณุพงษ์พาผู้เสียหายที่ 1 ไปที่บ้านที่เกิดเหตุแล้วได้ร่วมประเวณีกับผู้เสียหายที่ 1 โดยไม่ได้รับอนุญาตหรือความยินยอมจากผู้เสียหายที่ 3 ย่อมทำให้อำนาจปกครองดูแลผู้เสียหายที่ 3 ซึ่งเป็นย่าของผู้เสียหายที่ 1 ที่มีต่อผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เยาว์ถูกพรากจากไปโดยปริยายโดยปราศจากเหตุอันสมควร แต่การกระทำของจำเลยกับพวกที่ใช้ให้นายภาณุพงษ์ขับรถจักรยานยนต์ไปรับผู้เสียหายที่ 1 มาวัดสะแก แล้วพาไปที่บ้านที่เกิดเหตุ และจำเลยกับพวกร่วมประเวณีกับผู้เสียหายที่ 1 นั้น ตามทางนำสืบโจทก์ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายภาณุพงษ์สมรู้ร่วมคิดกับจำเลยและพวกหรือรู้มาก่อนว่าจำเลยกับพวกใช้ให้พาผู้เสียหายที่ 1 มาเพื่อการอนาจาร พฤติการณ์แห่งคดีฟังไม่ได้ว่า นายภาณุพงษ์มีเจตนาพรากผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารหรือมีเจตนาร่วมกับจำเลยและพวกกระทำความผิดดังกล่าว การที่จำเลยกับพวกใช้ให้นายภาณุพงษ์ขับรถจักรยานยนต์พาผู้เสียหายที่ 1 มาที่บ้านที่เกิดเหตุเพื่อการอนาจาร จึงไม่ใช่เป็นการใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิด เพราะนายภาณุพงษ์ซึ่งเป็นผู้ถูกใช้ไม่รู้ว่าการกระทำนั้นเป็นความผิด แต่เป็นการที่จำเลยกับพวกใช้นายภาณุพงษ์เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด ถือได้ว่าจำเลยกับพวกเป็นผู้กระทำความผิดเองโดยอ้อม และมีความผิดฐานร่วมกันพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานดังกล่าวมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น