โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 57, 66, 91, 100/1 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 7, 72 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58, 83, 91 บวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 855/2563 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้
จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีน ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 57, 66 วรรคสอง, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 5 ปี และปรับ 450,000 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 6 เดือน ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 6 ปี 6 เดือน และปรับ 450,000 บาท บวกโทษจำคุก 4 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 855/2563 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษจำคุกในคดีนี้ เป็นจำคุก 6 ปี 10 เดือน และปรับ 450,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังได้เกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 104, 162 จำคุก 2 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 เดือน บวกโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 855/2563 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษจำคุกคดีนี้แล้ว เป็นจำคุก 5 เดือน ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกาในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
ศาลฎีกาแผนกคดียาเสพติดวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยและนายกิตติศักดิ์ พร้อมยึดเมทแอมเฟตามีน 36 เม็ด และอาวุธปืนประจุปากไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้และเครื่องกระสุนปืน 1 ชุด เป็นของกลาง ในชั้นสอบสวนพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่จำเลยและนายกิตติศักดิ์ว่า เสพเมทแอมเฟตามีน ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต นายกิตติศักดิ์ให้การรับสารภาพและศาลได้มีคำพิพากษาไปแล้วตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 135/2564 ของศาลชั้นต้น จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีน ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ
มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการเดียวว่า จำเลยร่วมกับนายกิตติศักดิ์กระทำความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามบันทึกการจับกุม แต่ก็ต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 84 วรรคสี่ ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยและนายกิตติศักดิ์ได้ให้ถ้อยคำต่อร้อยตำรวจโทผ่องและดาบตำรวจประจวบ ผู้จับกุมว่า ยอมรับว่ายาเสพติดดังกล่าว (36 เม็ด) เป็นของตัวเองจริง โดยซื้อยาเสพติดจากนายคำ ในราคาเม็ดละ 50 บาท โดยนายกิตติศักดิ์และจำเลยนำมาจำหน่ายต่อให้แก่กลุ่มวัยรุ่นและผู้ใช้แรงงานในพื้นที่ ในราคาเม็ดละ 100 บาท โดยถ้อยคำดังกล่าวมิได้เป็นเพียงเฉพาะถ้อยคำคำรับสารภาพว่าได้กระทำผิด หากแต่เป็นถ้อยคำอื่นซึ่งจำเลยและนายกิตติศักดิ์ได้ให้ถ้อยคำอื่นนั้นต่อเจ้าพนักงานผู้จับกุมภายหลังที่เจ้าพนักงานผู้นั้นได้แจ้งสิทธิแก่จำเลยและผู้ถูกจับตามกฎหมายแล้ว และลงลายมือชื่อในบันทึกการจับกุม ไว้เป็นหลักฐานด้วยความสมัครใจ อีกทั้งโจทก์ยังมีภาพถ่ายประกอบสำนวน ที่ร้อยตำรวจเอกพัชชระ พนักงานสอบสวน ได้ให้จำเลยและนายกิตติศักดิ์ชี้เมทแอมเฟตามีนและอาวุธปืนของกลางที่ยึดได้จากกระท่อมที่เกิดเหตุที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยและนายกิตติศักดิ์จริง เป็นพยานหลักฐานของโจทก์ที่เกิดขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมายสามารถนำมารับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 84 วรรคสี่ ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ได้เช่นกัน เห็นว่า ถ้อยคำอื่นตามบทบัญญัติดังกล่าว จะต้องไม่ใช่ถ้อยคำที่เป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพของจำเลยด้วย เมื่อถ้อยคำในบันทึกการจับกุมตามที่โจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยรับว่าเป็นเจ้าของเมทแอมเฟตามีนและอาวุธปืนของกลางร่วมกับนายกิตติศักดิ์โดยมีรายละเอียดด้วยว่าซื้อมาจากบุคคลอื่นเพื่อนำมาจำหน่ายต่อซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพ จึงไม่สามารถรับฟังคำรับสารภาพของจำเลยดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้ ส่วนคำรับสารภาพชั้นจับกุมของนายกิตติศักดิ์แม้จะไม่ห้ามรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีของจำเลย ก็ถือเป็นพยานบอกเล่าและซัดทอดซึ่งมีเงื่อนไขให้รับฟังและมีน้ำหนักน้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/3 และ 227/1 ส่วนภาพถ่ายระบุเพียงว่า เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมถ่ายรูปไว้ขณะทำการตรวจค้นและตรวจยึดของกลางได้จากสถานที่เกิดเหตุเท่านั้น ไม่ได้มีข้อความว่าจำเลยให้การรับว่าเมทแอมเฟตามีนและอาวุธปืนพร้อมเครื่องกระสุนปืนของกลางเป็นของตน และภาพถ่ายประกอบสำนวนการสอบสวน ทำขึ้นเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2563 เป็นเอกสารที่ร้อยตำรวจเอกพัชชระพนักงานสอบสวนเป็นผู้ทำขึ้นซึ่งระบุว่า จำเลยและนายกิตติศักดิ์ชี้ยืนยันเมทแอมเฟตามีนและอาวุธปืนพร้อมเครื่องกระสุนปืน 1 ชุด ของกลาง ที่เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมยึดได้จากกระท่อมที่เกิดเหตุและอยู่ในความครอบครองของจำเลยและนายกิตติศักดิ์ ซึ่งจำเลยก็ให้การปฏิเสธในวันเดียวกันนั้นว่าไม่ได้กระทำผิดทั้งสองข้อหาดังกล่าวร่วมกับนายกิตติศักดิ์ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหา โดยนำสืบว่าเหตุที่ไปกระท่อมนาที่เกิดเหตุเพราะนายกิตติศักดิ์ว่าจ้างจำเลยให้เข้าไปติดตั้งไฟฟ้าที่กระท่อมที่เกิดเหตุของนายกิตติศักดิ์ ประกอบกับเมทแอมเฟตามีนของกลางบรรจุอยู่ในขวดพลาสติกพันด้วยเทปกาวสีดำซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าสะพายของนายกิตติศักดิ์ ในลักษณะมิดชิด ไม่ได้เปิดเผยชัดแจ้งถึงขนาดที่จำเลยจะรู้เห็นหรือร่วมครอบครองได้ ส่วนอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางวางอยู่บนพื้นกระท่อม ซึ่งกระท่อมดังกล่าวเป็นกระท่อมของนายกิตติศักดิ์ ย่อมเป็นไปได้ที่จำเลยจะไม่ได้รู้เห็นหรือร่วมครอบครองกับนายกิตติศักดิ์ดังนี้แล้ว พยานหลักฐานโจทก์จึงมีข้อสงสัยตามสมควรว่าจำเลยร่วมกระทำความผิดกับนายกิตติศักดิ์หรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสองข้อหาดังกล่าวมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน