โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 80, 91,
295, 297, 289, 364, 365, 371
พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 มาตรา 3, 4 ริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพข้อหาพาอาวุธไปในเมือง
หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยและโดยไม่มีเหตุสมควร แต่ข้อหาอื่นให้การรับว่าทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 และที่ 3 จริง
แต่กระทำโดยบันดาลโทสะ
ระหว่างพิจารณา นายสมศักดิ์ ผู้เสียหายที่ 1
ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน
100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
แต่ก่อนสืบพยานผู้เสียหายที่ 1 ขอถอนคำร้อง ศาลชั้นต้นอนุญาต
แต่ให้จำหน่ายคำร้องเสียจากสารบบความ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
นางสาวภัทรวดี ผู้เสียหายที่ 2 โดยนายบุญเสียน
ผู้แทนโดยชอบธรรม ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่ารักษาพยาบาลผู้เสียหายที่
2 เป็นเงิน 50,000 บาท ค่าเสียหายต่อจิตใจที่ใบหน้าเสียโฉมเป็นเงิน 100,000 บาท
ค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทำมาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานได้ตามปกติเป็นเงิน
54,000 บาท และค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นเนื่องจากผู้เสียหายที่
2 ต้องรักษาตัวอย่างต่อเนื่องเป็นเงิน 250,000 บาท
นายสมพรโชค ผู้เสียหายที่ 3
ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่ารักษาพยาบาลเป็นเงิน 13,844 บาท
ค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทำมาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานได้ตามปกติเป็นเงิน 90,000 บาท รวมเป็นเงิน 103,844 บาท
พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5
ต่อปีนับแต่วันทำละเมิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,
80, 295, 365 (1) (2) (3) ประกอบมาตรา 364, 371 พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง
การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยและโดยไม่มีเหตุสมควร
ปรับ 1,000 บาท
ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ฐานกระทำการอันเป็นความรุนแรงในครอบครัว
และฐานบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืนโดยใช้กำลังประทุษร้ายและโดยมีอาวุธ
เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานพยายามฆ่าผู้อื่นซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 90 จำคุก 10 ปี และฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น
จำคุก 1 ปี
จำเลยให้การรับสารภาพฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยและโดยไม่มีเหตุสมควร
และทางนำสืบของจำเลยฐานพยายามฆ่าผู้อื่นและฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา
มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษฐานพาอาวุธไปในเมือง
หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยและโดยไม่มีเหตุสมควรให้กึ่งหนึ่งและลดโทษฐานพยายามฆ่าผู้อื่นและฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นให้หนึ่งในสาม
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานพาอาวุธไปในเมือง
หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยและโดยไม่มีเหตุสมควร คงปรับ 500 บาท ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน และฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น คงจำคุก 8 เดือน
รวมจำคุก 6 ปี 16 เดือน และปรับ 500 บาท
ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
ริบของกลาง ข้อหาอื่นให้ยก
กับให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายที่ 2 เป็นเงิน 128,000 บาท และให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ร้องที่ 3 เป็นเงิน 14,844 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 14,844 บาท
นับแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2560
เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้เสียหายที่ 3 ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา
80
ให้ลงโทษฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุกตลอดชีวิต
ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงจำคุก 33 ปี 4 เดือน
เมื่อรวมกับโทษฐานพาอาวุธไปในเมือง
หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยและโดยไม่มีเหตุสมควร และฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว คงจำคุก 33 ปี 12 เดือน
และปรับ 500 บาท ให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายที่ 3 เป็นเงิน 23,844 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน
23,844 บาท นับแต่วันที่ 9
พฤศจิกายน 2560 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้เสียหายที่ 3 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติโดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งเป็นอย่างอื่นว่า
ผู้เสียหายที่ 2
เคยอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส มีบุตรด้วยกัน 1 คน ผู้เสียหายที่ 1 เป็นเจ้าของบ้านที่เกิดเหตุ ผู้เสียหายที่ 3
เป็นบุตรของผู้เสียหายที่ 1 ในวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้อง
จำเลยเข้าไปในบ้านที่เกิดเหตุแล้วใช้อาวุธมีดยาว 5.5 นิ้ว
ด้ามมีดยาวประมาณ 4 นิ้ว แทงผู้เสียหายที่ 2 และที่ 3 เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 2 ได้รับอันตรายสาหัส มีบาดแผลเป็นบริเวณใบหน้าและรอบดวงตามองเห็นได้ชัดเจน ต้องเสียโฉมอย่างติดตัว
และมีบาดแผลบริเวณแขนขวาต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาและจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวันและเป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่
3
ได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กายและจิตใจ ในวันเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยพร้อมยึดอาวุธมีดที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิดและฝักมีดที่ตกในที่เกิดเหตุเป็นของกลาง
สำหรับความผิดฐานพาอาวุธไปในเมือง
หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยและโดยไม่มีเหตุสมควร ฐานกระทำการอันเป็นความรุนแรงในครอบครัว
ฐานบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืนโดยใช้กำลังประทุษร้ายและโดยมีอาวุธ
ฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น และคดีในส่วนแพ่งของผู้เสียหายที่ 2
คู่ความไม่อุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ภาค 9
มิได้แก้ไขค่าสินไหมทดแทนในส่วนของผู้เสียหายที่ 2
จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำเลยไม่อุทธรณ์
คงมีแต่โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า
จำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายที่
3 เป็นเงิน 23,844 บาท พร้อมดอกเบี้ย โจทก์ไม่ฎีกา
คงมีแต่จำเลยฎีกา ดังนั้น
ความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นและค่าสินไหมที่จำเลยต้องชดใช้ให้แก่ผู้เสียหายที่ 3
เป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9
คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า
จำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ เห็นว่า
จำเลยกับผู้เสียหายที่ 2
อยู่กินฉันสามีภริยากันมาตั้งแต่ปี 2557 มีบุตรด้วยกัน 1 คน ผู้เสียหายที่ 2 เคยถูกจำเลยทำร้ายร่างกายเป็นประจำ และผู้เสียหายที่ 2 เพิ่งเลิกคบหากับจำเลยก่อนเกิดเหตุเพียง
1 เดือน
ความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยกับผู้เสียหายที่ 2
ยังคงมีอยู่ไม่ถึงกับตัดขาดเสียทีเดียว โดยผู้เสียหายที่
2 เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายที่
2
ยังพูดคุยกับจำเลยและจำเลยยืนยันขอกลับมาอยู่กับผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งจำเลยเบิกความเจือสมเข้ามาว่า
ช่วงเกิดเหตุจำเลยยังไม่เลิกคบหากับผู้เสียหายที่ 2
แต่ผู้เสียหายที่ 2 ขอกลับไปอยู่กับบิดามารดาของตน
และจำเลยรู้สึกโกรธเมื่อได้ยินข่าวว่าผู้เสียหายที่ 2
คบหากับบุคคลอื่น แสดงว่า จำเลยยังมีความผูกพันและอาลัยอาวรณ์ผู้เสียหายที่
2 อยู่ ส่วนเหตุการณ์ก่อนเกิดเหตุที่จำเลยพูดคุยกับผู้เสียหายที่
2 ทางเฟซบุ๊กของนางสาวเกียร์ นั้น จำเลยพูดคุยกับผู้เสียหายที่ 2 เวลาประมาณ 15
นาฬิกา ขณะนั้นผู้เสียหายที่ 2 ก็ยอมรับว่า จำเลยไม่รู้ว่าผู้เสียหายที่ 2 อยู่ที่ใด และผู้เสียหายที่ 2 คบหาอยู่กับผู้เสียหายที่ 3 หรือไม่การที่จำเลยขับรถจักรยานยนต์มีญาติซ้อนท้ายมาอีก
2 คน ตามหาผู้เสียหายที่
2 ในขณะที่เพิ่งมีปากเสียงกับผู้เสียหายที่
2
เกี่ยวกับเรื่องทวงเงินค่าสินสอดและความสัมพันธ์ระหว่างผู้เสียหายที่ 2 กับบุคคลอื่น จำเลยจึงอยู่ในสภาวะอารมณ์ขุ่นเคืองและโกรธมากกว่าที่จะวางแผนหรือใคร่ครวญตรึกตรองหาวิธีทำร้ายผู้เสียหายที่
2
ดังที่โจทก์ฟ้องดังจะเห็นได้จากพฤติการณ์ที่จำเลยขับรถผ่านบ้านที่เกิดเหตุไป
แสดงว่าจำเลยไม่รู้ว่าผู้เสียหายที่ 2 อยู่ที่บ้านที่เกิดเหตุ
เมื่อจำเลยเห็นผู้เสียหายที่ 2
บริเวณบ้านที่เกิดเหตุโดยบังเอิญ จำเลยจึงเลี้ยวรถกลับไปจอดหน้าบ้านที่เกิดเหตุ
แล้วเดินเข้าไปหาผู้เสียหายที่ 2 ในทันที ในขณะที่ผู้เสียหายที่ 2 เมื่อเห็นจำเลยก็วิ่งหนี
จำเลยจึงวิ่งตามไปทำร้ายผู้เสียหายที่ 2
รวมทั้งผู้เสียหายที่ 3 ซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกัน
ซึ่งน่าจะเป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้า จำเลยกระทำไปโดยขาดความยับยั้งชั่งใจและขาดสติด้วยคิดว่าผู้เสียหายที่
2 ตีจาก และหันไปคบกับผู้เสียหายที่ 3
พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมายังมีความสงสัยตามสมควรว่า
จำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ สมควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9
วินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว ฎีกาข้ออื่นของจำเลยไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
เว้นแต่ค่าสินไหมทดแทนในส่วนของผู้เสียหายที่ 3
ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9