คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามชำระเงิน 10,653,475.99 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10 ต่อปี ของต้นเงิน 10,248,667.84 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 17 มีนาคม 2560) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 11620 11912 และพร้อมสิ่งปลูกสร้าง กับที่ดินโฉนดเลขที่ 23029 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ออกขายทอดตลาด หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามบังคับชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน กับให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ แต่จำเลยทั้งสามทราบคำบังคับแล้วไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จึงขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 23029 พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ออกขายทอดตลาด ระหว่างการบังคับคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ธนาคาร ก. ซึ่งเป็นนิติบุคคลเดียวกับโจทก์ และเป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามคำพิพากษาคดีอื่น ได้รับชำระหนี้จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองไม่เกินวงเงินที่จำนอง และหากได้เงินเกินกว่าที่ผู้ร้องมีบุริมสิทธิก็ให้มีสิทธิเฉลี่ยเงินดังกล่าวเพื่อชำระหนี้ได้ ต่อมาวันที่ 7 พฤษภาคม 2562 โจทก์แถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่า โจทก์ได้รับชำระหนี้ครบถ้วนแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งว่า โจทก์แถลงผลการชำระหนี้ภายนอก แต่ยังไม่สละสิทธิการบังคับคดี ดำเนินการขายต่อไปตามกำหนด แล้วเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองไป โดยผู้ร้องเป็นผู้ซื้อได้ จากนั้นเจ้าพนักงานบังคับคดีเรียกให้โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายและค่าใช้จ่ายในการบังคับคดีสำหรับทรัพย์จำนองที่โจทก์เป็นผู้ขอยึดไว้ดังกล่าว
โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาล ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียกเว้นค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายและค่าใช้จ่ายในการบังคับคดี
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์ดำเนินการบังคับคดีในคดีนี้ โดยขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 23029 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ออกขายทอดตลาด ระหว่างการบังคับคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องซึ่งเป็นนิติบุคคลเดียวกับโจทก์ และเป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ ผบ.2655/2560 ของศาลชั้นต้น ได้รับชำระหนี้จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองไม่เกินวงเงินที่จำนอง และหากได้เงินเกินกว่าที่ผู้ร้องมีบุริมสิทธิก็ให้มีสิทธิเฉลี่ยเงินดังกล่าวเพื่อชำระหนี้ได้ ตามคำสั่งท้ายรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 21 มกราคม 2562 ในสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ ขช.2/2562 ของศาลชั้นต้น สำหรับการบังคับคดีแก่ทรัพย์จำนองดังกล่าวนั้น เจ้าพนักงานบังคับคดีได้มีประกาศขายทอดตลาดรวม 4 นัด ในวันที่ 28 มีนาคม 2562 วันที่ 18 เมษายน 2562 วันที่ 8 พฤษภาคม 2562 และวันที่ 30 พฤษภาคม 2562 ตามลำดับ ต่อมาวันที่ 7 พฤษภาคม 2562 โจทก์แถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่า โจทก์ได้รับชำระหนี้ครบถ้วนแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคำสั่งว่า โจทก์แถลงผลการชำระหนี้ภายนอก แต่ยังไม่สละสิทธิการบังคับคดี ดำเนินการขายต่อไปตามกำหนด แล้วเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองไป โดยผู้ร้องเป็นผู้ซื้อได้
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาเพียงประการเดียวว่า การที่โจทก์ได้รับชำระหนี้ครบถ้วนแล้ว แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์จำนองอันเป็นการดำเนินการบังคับคดีต่อไปตามสิทธิของผู้ร้องนั้น โจทก์ยังคงต้องรับผิดในค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายและค่าใช้จ่ายในการบังคับคดีหรือไม่ เห็นว่า ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นบังคับคดี อันได้แก่ ค่าธรรมเนียม ค่าป่วยการ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในการบังคับคดีเป็นค่าบริการที่เจ้าพนักงานบังคับคดีเรียกเก็บจากคู่ความที่ขอใช้บริการในการบังคับคดี ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 153 วรรคสอง กำหนดให้เจ้าหนี้ผู้ขอบังคับคดีนั้นเป็นผู้ชำระ และตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 169/2 วรรคสี่ ยังบัญญัติให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาผู้ขอยึดหรืออายัดทรัพย์สินเป็นผู้รับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดี ในกรณีที่มีการถอนการบังคับคดีนอกจากกรณีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292 (1) และ (5) ในการบังคับคดีตามคำพิพากษาคดีนี้ โจทก์เป็นผู้ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด การที่ระหว่างเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดนั้น โจทก์ยื่นคำแถลงลงวันที่ 7 พฤษภาคม 2562 ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้จากจำเลยครบถ้วนแล้ว โดยไม่ได้แถลงให้ชัดเจนว่าโจทก์ขอถอนการบังคับคดี ทั้งเจ้าพนักงานบังคับคดียังเกษียณสั่งคำแถลงดังกล่าวว่า โจทก์แถลงผลการชำระหนี้ภายนอก แต่ยังไม่สละสิทธิการบังคับคดี ก็ตาม แต่ตามคำแถลงของโจทก์เช่นนี้ย่อมเป็นผลให้โจทก์ไม่มีสิทธิบังคับคดีจากทรัพย์จำนองที่ยึดไว้ได้อีกต่อไป ซึ่งต้องถือว่าเป็นการที่โจทก์ขอถอนการบังคับคดี และเจ้าพนักงานบังคับคดีต้องถอนการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292 (7) ดังที่ได้ความตามหนังสือสำนักงานบังคับคดีจังหวัดปราจีนบุรี ลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2560 (ที่ถูก 2562) ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีเสนอรายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการบังคับคดีให้ศาลทราบว่า หลังจากโจทก์แถลงว่าจำเลยได้ชำระหนี้ครบถ้วนแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดทรัพย์จำนองต่อไปเพื่อประโยชน์ของผู้ร้องซึ่งศาลได้มีคำสั่งอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้บุริมสิทธิ และผู้ร้องเป็นผู้ซื้อทรัพย์ได้จากการขายทอดตลาดกับชำระราคาด้วยการใช้สิทธิหักส่วนได้ใช้แทน อันเป็นการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 327 ด้วยการให้ผู้ร้องเข้าดำเนินการบังคับคดีต่อไปจากโจทก์เนื่องด้วยมีการถอนการบังคับคดีนั่นเอง ดังนี้ เมื่อโจทก์เป็นผู้ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำนองแล้วมีการถอนการบังคับคดีของโจทก์โดยไม่ได้บังคับแก่ทรัพย์จำนองด้วยการขายทอดตลาดเพื่อประโยชน์ของโจทก์ต่อไป จึงเป็นกรณีที่มีการยึดทรัพย์แล้วไม่มีการขาย โจทก์จึงต้องรับผิดชำระค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายตามตาราง 5 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กับค่าใช้จ่ายในการบังคับคดี อันเป็นค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 153 วรรคสอง และมาตรา 169/2 วรรคสี่ ที่โจทก์ฎีกาอ้างว่า เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์จำนองโดยผู้ร้องเป็นผู้ซื้อทรัพย์จำนองเอง ทั้งโจทก์และผู้ร้องเป็นนิติบุคคลเดียวกันและต่างเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์จึงไม่จำต้องรับผิดในค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายและค่าใช้จ่ายในการบังคับคดีนั้น เห็นว่า การบังคับคดีของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคดีใดย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีนั้นเอง ที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 327 บัญญัติให้เจ้าหนี้ซึ่งศาลอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองก่อนเจ้าหนี้อื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 324 แล้ว มีสิทธิดำเนินการบังคับคดีต่อไปจากเจ้าหนี้ผู้ขอยึดทรัพย์แต่เดิมได้นั้น เป็นเพียงการอำนวยความสะดวกแก่เจ้าหนี้อื่นให้สามารถดำเนินการบังคับคดีได้รวดเร็วขึ้น โดยไม่จำต้องเสียเวลาปฏิบัติตามขั้นตอนด้วยการรอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการยึดทรัพย์รายเดียวกันนั้นเสียก่อน แล้วจึงยื่นคำขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์นั้นออกขายทอดตลาดใหม่อีกครั้ง ทั้งกรณีนี้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 153 วรรคสี่ ก็กำหนดให้เจ้าหนี้ผู้เข้าดำเนินการบังคับคดีต่อไปเป็นผู้ชำระค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดีในส่วนที่ดำเนินการบังคับคดีต่อไปต่างหากอยู่แล้ว หาได้ทำให้โจทก์หลุดพ้นความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดีที่โจทก์เป็นผู้ขอบังคับคดีในส่วนของตนดังที่วินิจฉัยมาแล้วแต่อย่างใดไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ