โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำหนังสือสัญญากู้เงินโจทก์ไป ๑๘๐๐ บาท โดยสัญญาจะใช้ภายใน ๓ เดือน และได้ขอกู้เพิ่มเติมอีก ๑๓๔๙ บาท โดยใช้สัญญาเดิมเขียนเติมเป็น ๓๑๔๙ บาท โดยมิได้แก้ตัวอักษรให้ตรงตัวเลข ต่อมาจำเลยบิดพริ้วไม่ชำระ ขอให้ศาลบังคับ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยได้ทำสัญญากู้เงินโจทก์จริงตามฟ้อง แต่ได้รับผ้า ๖ ทับไปแทนเงิน ๑๘๐๐ บาท เท่ากับยินยิมรับสิ่งของแทนจำเลยเงินตามประมวลแพ่งมาตรา ๖๕๖ วรรคแรก จำเลยจึงต้องชำระหนี้ให้โจทก์ ส่วนหนี้อีกรายหนึ่งนั้นเห็นด้วยกับศาลชั้นต้นให้ยกฟ้อง
จำเลยฎีกาคัดค้านว่า สัญญากู้รายนี้เป็นนิติกรรมอำพรางตามประมวลแพ่งมาตรา ๑๑๘ ศาลไม่ควรบังคับให้จำเลยใช้
คดีคงมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาฉะเพาะเงินกู้เดิม ๑๘๐๐ บาท ศาลฎีกาคงฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยจะรับผ้า ๖ ทับของโจทก์ไปขาย โจทก์ไม่เชื่อใจ จึงให้จำเลยทำสัญญากู้ฉบับนี้ให้ไว้ รูปเรื่องเข้าลักษณะรับสิ่งของแทนเงิน หาใช่นิติกรรมอำพรางตามฎีกาจำเลยไม่ และคู่กรณีก็มิได้มีเจตนาทำสัญญานี้ขึ้นเพื่อลวงผู้ใดเลย เมื่อฟังว่าเป็นสัญญากู้อันถูกต้องแล้ว จำเลยจะนำการสืบการใช้เงินตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๖๕๓ วรรค ๒ ไม่ได้ก็ต้องแพ้คดีจึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์