โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยไปจดทะเบียนการเช่าให้โจทก์มีกำหนด 30 ปี นับแต่วันที่ 15 กันยายน 2530 หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า โจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทรวม 2 แปลงจากจำเลยกำหนดเวลาเช่ากัน 30 ปีนับตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2530 สัญญาเช่าได้ทำเป็นหนังสือกันเองรวม 10 ฉบับ มีกำหนดเวลาเช่าฉบับละ 3 ปี ติดต่อกัน โดยมิได้จดทะเบียนการเช่าต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามสัญญาเช่าที่ดินท้ายฟ้อง โจทก์เช่าที่ดินมาเป็นเวลา 4 ปีเศษ แล้วมาฟ้องคดีนี้ปัญหาวินิจฉัยมีว่า สัญญาเช่าที่ดินท้ายฟ้องมีผลบังคับกันได้เพียงใดโดยโจทก์ฎีกาว่าโจทก์จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินมีกำหนดเวลาเช่ากัน30 ปี มีข้อตกลงกันว่าจำเลยจะไปจดทะเบียนการเช่าให้โจทก์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ภายหลังจากที่จำเลยจัดสรรที่ดินให้เช่าหมดแล้วต่อมาจำเลยไม่ได้ปฏิบัติตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ เห็นว่า แม้หากจะฟังข้อเท็จจริงได้ว่า จำเลยเคยตกลงจะไปจดทะเบียนการเช่าที่ดินให้โจทก์ในภายหลังตามที่โจทก์ฎีกาก็ตาม แต่สัญญาเช่าที่ดินตามที่โจทก์ฟ้องมีระยะเวลาการเช่าเกินกว่า 3 ปี เมื่อยังมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โจทก์จะฟ้องบังคับให้จำเลยจดทะเบียนการเช่าที่ดินมีกำหนดเวลา 30 ปีไม่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าโจทก์จะบังคับไม่ประสงค์จะจดทะเบียนการเช่าที่ดินมาแต่ต้นโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนการเช่าที่ดินนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน