โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 31268 ตำบลบางนา อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2539 จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินจากโจทก์เนื้อที่ 50 ตารางวา อัตราค่าเช่าเดือนละ 2,000 บาท มีกำหนด 6 เดือน จำเลยปลูกบ้านในที่ดินพิพาท เมื่อครบกำหนด จำเลยยังคงอยู่อาศัยในที่ดินที่เช่า โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยและบริวารรื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายหากโจทก์นำที่ดินออกให้บุคคลอื่นเช่าจะได้ค่าเช่าเดือนละ 4,000 บาท ขอให้บังคับให้จำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านเลขที่ 22 หมู่ที่ 10 แขวงบางนา อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร ออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 31268 ตำบลบางนา อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร ห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับที่ดินของโจทก์ พร้อมกับส่งมอบที่ดินในสภาพเรียบร้อยให้แก่โจทก์ ให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 4,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินของโจทก์และส่งมอบที่ดินในสภาพเรียบร้อยให้แก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยและสามีได้ปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาทมานานกว่า 20 ปีแล้ว โดยเจ้าของที่ดินเดิมซึ่งเป็นบิดาของจ่าสิบตำรวจผาด และสามีของจำเลยได้อนุญาตให้มีสิทธิอาศัยตลอดชีวิตของจำเลย สามีและลูกหลานของจำเลย เมื่อเจ้าของที่ดินเดิมถึงแก่ความตาย ที่ดินพิพาทตกเป็นมรดกแก่จ่าสิบตำรวจผาด ซึ่งเป็นพี่ชายของสามีจำเลยก็ยังให้มีสิทธิอาศัยตลอดชีวิตของจำเลย สามีและลูกหลานของจำเลยโดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทนใดๆ และไม่มีการยกเลิกสิทธิอาศัยมาจนปัจจุบัน ต่อมาเมื่อจ่าสิบตำรวจผาดถึงแก่ความตาย นางนวลศรีมารดาของโจทก์ใช้กลอุบายหลอกลวงให้จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาท สัญญาเช่าจึงเป็นโมฆะ ขอให้พิพากษาว่าสัญญาเช่าฉบับลงวันที่ 1 เมษายน 2539 เป็นโมฆะ และพิพากษาให้จำเลยมีสิทธิอาศัยในที่ดินโฉนดเลขที่ 31268 ตำบลบางนา อำเภทพระโขนง กรุงเทพมหานคร ตลอดชีวิตของจำเลยและลูกหลาน
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า นางนวลศรีไม่ได้หลอกลวงให้จำเลยทำสัญญาเช่าจำเลยขออยู่อาศัยตามระยะเวลาในสัญญาและยินยอมชำระค่าเช่าให้แก่โจทก์ การที่จำเลยอ้างสิทธิอาศัยนั้นต้องมีข้อตกลงระหว่างเจ้าของที่ดินและผู้มีสิทธิอาศัยนางนวลศรีในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของโจทก์ไม่ยินยอมให้จำเลยมีสิทธิอาศัยจำเลยจะอ้างสิทธิไม่ได้ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านเลขที่ 22 หมู่ที่ 10 แขวงบางนา เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร ออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 31268 ตำบลบางนา อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร ให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 2,000 บาท นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 17 พฤษภาคม 2544) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์และส่งมอบที่ดินในสภาพเรียบร้อยให้แก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ในจำนวนทุนทรัพย์เท่าที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนาวความ 2,000 บาท ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นในส่วนของฟ้องแย้งและชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของจ่าสิบตำรวจผาดและนางนวลศรี ส่วนจำเลยเป็นภริยาของนายมาลัย ซึ่งเป็นน้องชายของจ่าสิบตำรวจผาด เดิมจ่าสิบตำรวจผาดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 31264 ตำบลบางนา อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร ต่อมาเมื่อจ่าสิบตำรวจผาดถึงแก่ความตาย โจทก์ได้รับโอนมรดกที่ดินดังกล่าวตามสำเนาโฉนดที่ดิน เจ้าของที่ดินเดิมอนุญาตให้นายมาลัยและจำเลยปลูกบ้านในที่ดินพิพาทและขณะที่จ่าสิบตำรวจผาดมีชีวิตอยู่ได้อนุญาตให้นายมาลัยและจำเลยอยู่อาศัยในที่ดินพิพาท ต่อมาเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2539 จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทกับนางนวลศรีมีกำหนดระยะเวลา 6 เดือน ตามสัญญาเช่า เมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่าจำเลยยังคงอาศัยอยู่ในที่ดินที่เช่าโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินพิพาท แต่จำเลยเพิกเฉยมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อกฎหมายว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่จำเลยฎีกาว่า ตามคำฟ้องโจทก์บรรยายฟ้องว่า "โจทก์มีฐานะเป็นมารดาของนายฐิติวัฒน์ ผู้เยาว์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 31268 ตำบลบางนา อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร โดยการจัดการมรดกเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2539" แสดงว่านางนวลศรีผู้ใช้อำนาจปกครองเป็นผู้ฟ้องแทน และคำฟ้องอ้างสัญญาเช่า ซึ่งนางนวลศรีเป็นผู้ทำสัญญาเช่ากับจำเลย ดังนั้น โจทก์จำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องระบุไว้แจ้งชัดว่านายฐิติวัฒน์เป็นผู้เยาว์อายุ 17 ปี เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตามฟ้องจำเลยเคยเป็นผู้เช่าที่ดินพิพาทแม้จะทำสัญญาเช่ากับนางนวลศรีแต่ก็ทำสัญญาเช่าหลังจากที่จ่าสิบตำรวจผาดถึงแก่ความตายแล้ว นางนวลศรีซึ่งเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจ่าสิบตำรวจผาดจึงมีส่วนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทด้วย และไม่มีกฎหมายบังคับว่าผู้ให้เช่าจะต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่า ต่อมาเมื่อโจทก์รับโอนที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์สินที่เช่าโจทก์จึงต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 569 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยมีสิทธิอาศัยในที่ดินพิพาทหรือไม่ จำเลยอ้างว่า จำเลยมีสิทธิอาศัยในที่ดินพิพาท ในข้อนี้จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยและสามีปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาทโดยเจ้าของที่ดินเดิมอนุญาตและต่อมาจ่าสิบตำรวจผาดอนุญาตให้อยู่อาศัยตลอดชีวิตของสามีและลูกหลานของจำเลย เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1402 บัญญัติว่า "บุคคลใดได้รับสิทธิอาศัยในโรงเรือน บุคคลนั้นย่อมมีสิทธิอยู่ในโรงเรือนนั้นโดยไม่ต้องเสียค่าเช่า" ดังนั้นจะเห็นได้ว่า สิทธิอาศัยมีได้แต่เฉพาะสิทธิที่จะอยู่อาศัยในโรงเรือนของบุคคลอื่นเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าบ้านดังกล่าวเป็นของจำเลยเอง และโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในที่ดินพิพาท จำเลยจึงไม่มีสิทธิอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทอีกต่อไป เมื่อโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่ดินพิพาท แต่จำเลยเพิกเฉยจึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์แล้ว โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยได้ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนั้น เป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ