โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ ให้โจทก์นำเงินภาษีการค้าเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนธันวาคม ๒๕๒๕ กับเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน ๒๕๒๖ รวมเป็นเงินภาษีพร้อมเงินเพิ่ม เบี้ยปรับและภาษีบำรุงเทศบาลรวมเป็นจำนวนเงิน ๒๐๐,๖๘๑.๙๘ บาท ตามหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์เลขที่ ๑๓๘/๒๕๒๙/๑ ลงวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๒๙ หรือมีคำพิพากษาแสดงว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวไม่มีผลบังคับต่อโจทก์
จำเลยทั้งห้าให้การต่อสู้คดีหลายประการและว่า การประเมินภาษีการค้ารายของโจทก์ตามฟ้องได้ทำการประเมินชอบแล้ว โจทก์จึงมีหน้าที่จะต้องชำระภาษีการค้า เงินเพิ่ม เบี้ยปรับ และภาษีบำรุงเทศบาล ตามที่จำเลยเรียกเก็บเพิ่มเป็นเงินจำนวน ๒๐๐,๖๘๑.๙๘ บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินภาษีการค้าของจำเลยทั้งห้า สำหรับเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนธันวาคม ปี พ.ศ. ๒๕๒๕ และเดือนมกราคมถึงเดือนเมษายน ปี พ.ศ. ๒๕๒๖ ที่ให้โจทก์เสียภาษีการค้า พร้อมทั้งเงินเพิ่ม เบี้ยปรับ และภาษีบำรุงเทศบาล รวมเป็นเงิน ๒๐๐,๖๘๑.๙๘ บาท
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาว่า โจทก์จะต้องชำระภาษีการค้าเพิ่มตามที่จำเลยที่ ๒ ประเมินหรือไม่ เห็นว่าเมื่อพนักงานประเมินของจำเลยที่ ๑ ตรวจสอบพบว่าโจทก์ได้แสดงรายการการค้าเพื่อเสียภาษีการค้าประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ถึง ๒๕๒๔ ต่ำกว่าความเป็นจริง จึงได้กำหนดรายรับขั้นต่ำประจำเดือนของโจทก์เดือนละไม่น้อยกว่า ๔๐๐,๐๐๐ บาท ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๒๕ เป็นต้นไป แม้เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ ๑ จะไม่มีอำนาจกำหนดรายรับขั้นต่ำประจำเดือนของโจทก์ล่วงหน้าตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๒๕ เป็นต้นไป เพราะโจทก์ยังมิได้ยื่นแบบแสดงรายการการค้าหรือปฏิบัติขัดต่อประมวลรัษฎากร มาตรา ๘๗ ก็ตาม แต่ได้ความว่าเมื่อโจทก์ได้ยื่นแบบแสดงรายการการค้าเพื่อเสียภาษีการค้าในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ไว้แล้ว ต่อมาเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ ๑ ตรวจสอบพบว่าโจทก์ได้แสดงรายการการค้าเพื่อเสียภาษีต่ำกว่าที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ ๑ กำหนดไว้ จึงได้แจ้งให้โจทก์ชำระภาษีเพิ่มสำหรับเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๒๕ ถึงเดือนธันวาคม ๒๕๒๕ และเดือนมกราคม ๒๕๒๖ ถึงเดือนเมษายน ๒๕๒๖ โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา ๘๗, ๘๗ ทวิ (๗) นั้นเป็นการแจ้งการประเมินภาษีการค้าที่ชอบแล้ว
ดังนั้น ปัญหาที่ว่าโจทก์จะต้องชำระภาษีการค้าเพิ่มพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มหรือไม่นั้น ได้ความว่า หลังจากที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ ๑ แจ้งให้โจทก์ชำระภาษีการค้าเพิ่มแล้ว ได้เรียกนางนิภา บุญธรรม หุ้นส่วนผู้จัดการของโจทก์มาสอบถามเรื่องนี้ด้วย นางนิภาแสดงความยินยอมเสียภาษีการค้าเพิ่มพร้อมทั้งขอลดเบี้ยปรับตามที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ ๑ แจ้งให้ทราบรวมทั้งสละสิทธิ์ในการอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ปรากฏตามคำให้การของนางนิภาลงวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๒๖ เห็นว่าการที่นางนิภายอมรับว่าเจ้าพนักงานของจำเลยที่ ๑ ได้เรียกเก็บภาษีการค้าเพิ่ม เบี้ยปรับและเงินเพิ่มถูกต้องแล้ว โจทก์จะโต้เถียงว่าเจ้าพนักงานของจำเลยที่ ๑ ประเมินให้โจทก์ชำระภาษีการค้าเพิ่มรวมตลอดถึงคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ ว่าไม่ชอบนั้นไม่ได้ การกระทำของนางนิภาซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของโจทก์มีผลผูกพันโจทก์ให้ต้องเสียภาษีการค้า เบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม ตามที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ ๑ เรียกเก็บเพิ่มขึ้น คำพิพากษาศาลภาษีอากรกลางไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์